รถยนต์จากประเทศจีน หรือที่เรามักจะเรียกตคิดปากว่า รถจีน ถือเป็นอุตสาหกรรมระดับโลก ที่กำลังมาแรงในช่วงยุค 2020 จนได้รับการคาดหมายกันว่า ในอนาคตอันใกล้ รถยนต์จากประเทศจีน อาจจะเป็นแบรนด์ที่ขึ้นมาครองความยิ่งใหญ่ ด้วยการนำเสนอเทคโนโลยีใหม่ๆ บนความคุ้มค่า ภายใต้เงื่อนไขการแข่งขันในระดับสูงของแบรนด์ภายในประเทศ ซึ่งในช่วงที่ผ่านมา มีแบรนด์น้องใหม่เปิดตัวเพื่อลุยตลาดกันอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะกับรถบนต์ในกลุ่มปลั๊กอินไฮบริด และรถยนต์พลังงานไฟฟ้า ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว คำพูดที่ว่า “รถจีนจะครองโลกในอนาคต” โดยสามารถตีตลาดในโลกตะวันตก มีความเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน…เราไปหาคำตอบพร้อมๆ กัน
อย่างที่ทราบกันดีว่า จุดเด่นของรถที่ผลิตจากประเทศจีน (โดยเฉพาะรถที่เป็นแบรนด์จีนแท้ๆ) มีจุดเด่นอยู่ที่การใส่เทคโนโลยี อุปกรณ์ออพชั่น ที่เน้น “ให้เยอะ” กว่ารถทั้งจากฝั่งญี่ปุ่นและยุโรป ในขณะเดียวกัน ยังคงเซ็ตระดับราคาที่สามารถเข้าถึงได้ง่าย ด้วยปริมาณการผลิตที่สูง รวมถึงค่าใช้จ่ายในการจ้างแรงงานที่ถูกกว่าฝั่งยุโรปและอเมริกา ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายในการผลิตต่อ 1 คัน ต่ำลงไปด้วย นั่นเป็นจุดขายสำคัญที่ทำให้ผู้บริโภค หันมาให้ความสนใจจากรถที่เป็นแบรนด์ของจีน หรือผลิตในประเทศจีนมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในตลาดต่างชาติ ที่กำลังมีข้อถกเถียงว่า รถจีนกำลังจะครองโลกแล้วจริงหรือ ?
ในทางตรงข้าม…รถยนต์ที่เป็นแบรนด์ที่ก่อตั้งขึ้นในประเทศจีน ไม่ว่าจะเป็น Changan, BYD, MG, Chery, Haval, NIO, Xpeng, JAC, Hongqi, Dongfeng, Wuling รวมถึงแบรนด์อื่นๆ อีกมากมาย จะเน้นการทำตลาดภายในประเทศโดยเฉพาะ (แน่นอนว่า…แค่ทำตลาดภายในประเทศ ซึ่งมีความต้องการในระดับสูง ก็เพียงพอที่จะทำให้แบรนด์นั้นอยู่รอด และเติบโตในอุตสาหกรรมยานยนต์ขนาดใหญ่ได้ไม่ยาก) โดยรถเหล่านี้ สามารถทำยอดขายในประเทศจีนได้มากถึง 25-28 ล้านคัน ต่อปี แต่หากเทียบกับภาพรวมในตลาดฝั่งยุโรป รถยนต์แบรนด์จีนแท้ๆ เหล่านี้ มีจำหน่ายเพียง 85,900 คัน นับตั้งแต่ต้นปี จนถึงเดือนเมษายน 2023 หรือคิดเป็นส่วนแบ่งการตลาดเพียง 2% เมื่อเทียบกับรถที่ทำตลาดทั้งหมดในยุโรป แต่ถึงอย่างไรแล้ว สิ่งที่น่าประทับใจก็คือ รถจีน เหล่านั้น มียอดขายที่เติบโตมากถึง 102% เมื่อเทียบกับ่วงเดียวกันของปี 2022
จะมีเพียงรถจากประเทศจีนบางแบรนด์ เช่น MG ที่ถือเป็นข้อยกเว้น เนื่องจากเป็นแบรนด์รถยนต์ที่รู้จักในยุโรปมาอย่างยาวนาน (เป็นแบรนด์ที่ยังคุ้นหูโดยเฉพาะในประเทศอังกฤษ) โดยจากข้อมูลชี้ให้เห็นว่า ใน 4 เดือนแรกของปี 2023 รถยนต์จากแบรนด์ MG สามารถทำยอดขายในยุโรปได้ถึง 59,200 คัน ซึ่งมากกว่า 2 ใน 3 (หรือ 69%) ของรถจีนทั้งหมดที่ทำตลาดในยุโรป โดยเฉพาะในกลุ่มรถยนต์พลังงานไฟฟ้า ซึ่งมีการแข่งขันกันสูง ณ ปัจจุบัน เป็นทาง MG 4 Electric ที่สามารถทำยอดขายติด Top 10 ของรถ EV ที่ขายดีที่สุดในยุโรป เมื่อเดือนเมษายน ที่ผ่านมา
ภาพรวมของ รถจีน แม้จะเป็นแบรนด์ที่ดูจะมาแรงใน พ.ศ. นี้ แต่หากเทียบกับภาพรวมในระดับโลก ยังอาจจะต้องใช้เวลาเพื่อให้เกิดการยอมรับในระดับสากลมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะกับแบรนด์น้องใหม่ที่เกิดขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งนอกจากการแข่งขันกันด้วยเรื่องราคาแล้ว คุณภาพในระดับที่ได้การยอมรับ ยังคงเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่รถยนต์แบรนด์จากประเทศจีน จะต้องก้าวผ่านกำแพงตรงนี้ไปให้ได้ ถ้าหวังจะก้าวสู่ความเป็นเบอร์ 1 ในอุตสาหกรรมยานยนต์ที่แท้จริง
ขอขอบคุณข้อมูลจาก Motor 1, JATO