ก่อนการจะเลือกซื้อรถ EV แต่ละรุ่นนั้น ข้อมูลหนึ่งที่ผู้บริโภคมักจะให้ความสนใจก็คือ ระยะทางในการเดินทางต่อชาร์จ ที่เรียกได้ว่า เป็นปัจจัยที่มีผลต่อการวางแผนการเดินทางอย่างยิ่ง โดยสิ่งที่ทำให้ได้มาซึ่งระยะทางต่อชาร์จ นอกจากขนาดของแบตเตอรี่แล้ว คงหนีไม่พ้นอัตราการกินไฟของรถยนต์เหล่านั้น ที่แต่ละคัน มีระดับพละกำลังที่ต่างกัน ก็ย่อมที่จะมีอัตราการกินไฟแตกต่างกันไปด้วย (แม้ว่าจะใช้ความเร็ว หรือขับในคอนดิชั่นเดียวกัน) เป็นที่มาของการทดสอบในครั้งนี้
เส้นทางเดียวกัน เวลาเดียวกันใน GRA Loop
สถานที่ที่ใช้ในการทดสอบครั้งนี้ คือ Grande Raccordo Anulare (GRA) หรือที่ชาวอิตาเลียนรู้จักกันดีในชื่อมอเตอร์เวย์หมายเลข A90 ซึ่งเป็นเส้นทางชานเมือง ที่เมื่อวิ่งครบรอบจะมีระยะทาง 68.2 กม. ความเร็วที่ใช้โดยเฉลี่ย คือ 90-110 กม./ชม. โดยหากมีการใช้ความเร็วสูงสุด จะถูกควบคุมเอาไว้ไม่เกิน 130 กม./ชม. (ในบางช่วงอาจมีการลดความเร็วเหลือ 110 กม./ชม. ในบางช่วง) ด้วยโหมดการขับขี่แบบ Normal จากโรงงาน ซึ่งหากเข้าในพื้นที่ที่การจราจรแออัด ความเร็วที่ใช้ก็จะลดลงมาอีกตามสภาพการจราจรดังกล่าว (เลือกเวลาการวิ่งที่ 11.00 น. เพื่อลดความแออัดในสภาพจราจร) นอกจากนี้…รถทุกคันที่เข้าร่วมการทดสอบ จะต้องปิดกระจกวิ่ง พร้อมเปิดเครื่องปรับอากาศไว้ที่ 22 องศาเซลเซียส โดยมีผู้ขับขี่นั่งอยู่ในรถเพียง 1 คน เท่านั้น
วิ่งจนเหลือแบตฯ 5% แล้วจึงเทียบประสิทธิภาพ
ในขั้นตอนการทดสอบ โดยส่วนใหญ่แล้วรถทุกคันจะวิ่งตามกันไปในลักษณะคาราวาน (มีการติดตั้งระบบ Tracking จากดาวเทียมด้วยโปรแกรม LoJack ในรถทุกคัน) จนกระทั่งไฟในแบตเตอรี่เหลือ 5% จึงแยกตัวเพื่อหาจุดชาร์จที่ใกล้ที่สุด ซึ่งผลที่ได้จากการทดสอบนั้น อยุ่ในช่วงตั้งแต่ 289 กม. สำหรับรถที่วิ่งได้น้อยที่สุด และ 436 สำหรับรถที่วิ่งได้ไกลที่สุด (6.4 รอบ ของ GRA Loop) โดยใช้ไฟไปทั้งสิ้น 101.7 kWh จากความจุแบตอรี่ทั้งหมด 105.1 kWh ทำให้เห็นได้ชัดว่า…ยิ่งรถที่ใช้แบตเตอรี่ที่มีขนาดใหญ่ ก็จะยิ่งเพิ่มระยะในการเดินทางได้มากยิ่งขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม หากเอาตัวเลขที่วิ่งได้จริงดังกล่าว ไปเปรียบเทียบจากระยะที่เคลมโดยใช้มาตรฐาน WLTP จะมีความคลาดเคลื่อนในระดับ 16-31% เลยทีเดียว เป็นเรื่องที่ยากมาก ที่รถจะวิ่งได้เท่ากับรถะยะทางตัวเลขที่เคลมเอาไว้
MG 4 Electric มีความคาดเคลื่อนในระยะที่เคลมต่ำที่สุด
จากผลการทดสอบ รถที่ทำอัตราสิ้นเปลืองได้ใกล้เคียงกับระยะที่เคลมใน มาตรฐาน WLTP มากที่สุด คือ MG 4 Electric ที่เมื่อจับคู่กับแบตเตอรี่ขนาด 61.7 kWh ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง จะวิ่งได้ 357 กม. หรือ 5.2 รอบ ของ GRA Loop (ระยะทางที่เคลมโดยมาตรฐาน WLTP คือ 450 กม. ต่อชาร์จ) ซึ่งเมื่อเทียบกับแล้ว ตัวเลขที่วิ่งได้จริง ต่างจากตัวเลขที่เคลมอยู่ประมาณ 16% (ความต่างของรถทั้ง 10 คัน โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 25%) นี่จึงเป็นสิ่งที่พิสูจน์ได้ว่า นอกจากความจุแบตเตอรี่แล้ว ยังมีตัวแปรอื่นๆ ที่ส่งผลให้รถแต่ละรุ่น มีอัตราการใช้พลังงาน รวมถึงระยะทางในการวิ่งที่แตกต่างกันไปด้วย
หากวัดกันด้วยเรื่องอัตราการใช้พลังงาน MG 4 Electric ยังคงเป็นรถที่ให้ผลการทดสอบออกมาในทิศทางที่น่าสนใจที่สุด โดยมีอัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ยอยู่ที่ 16.4 kWh /100 กม. ซึ่งต้องยกเครดิตให้กับการออกแบบที่ยอดเยี่ยม โดยเฉพาะโคงสร้างพื้นฐาน Modular Scalable Platform ที่สามารถกระจายน้ำหนักได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนรถที่มีอัตราสิ้นเปลืองรองลงมา คือ Renault Megane E-Tech ที่ 17.7 kWh/100 กม. โดยรถที่รั้งท้าย ในเรื่องอัตราสิ้นเปลืองพลังงาน คงหนีไม่พ้นรถที่มีขนาดใหญ่ หรือมีน้ำหนักเยอะ ไม่ว่าจะเป็น Mercedes EQE, BMW i7 หรือ Volkswagen ID. Buzz ที่ 20.4 – 24.4 kWh/100 กม. นอกจากนี้ รถที่มีอัตราสิ้นเปลืองอยู่ในระดับกลางๆ หรือ ราว 18 – 20 kWh/100 กม. จะประกอบไปด้วย Polestar 2, Niro EV. Smart #1, Aiways U5 และ Skoda Enyaq Coupé RS
MG 4 Electric ประหยัดค่าใช้จ่ายในการเดินทางได้มากที่สุด
เมื่อตัวรถวิ่งด้วยประสิทธิภาพที่สูงมากขึ้น นั่นย่อมหมายถึงค่าใช้จ่ายในการเดินทางที่ต่ำลง ซึ่งอัตราการใช้พลังงานนั้น ส่งผลต่อค่าใช้จ่ายโดยตรง นั่นจึงไม่น่าแปลกใจที่ MG 4 Electric จะเป็นรถที่มีค่าใช้จ่ายในการเดินทางต่ำที่สุด โดยในระยะทาง 100 กม. จะมีค่าใช้จ่ายในการชาร์จไฟอยู่ที่ 5.75 ยูโร (หรือประมาณ 205 บาท) โดยค่าชาร์จไฟในอิตาลี จะอยู่ที่ 0.35 ยูโร หรือ 12.4 บาท ต่อ 1 kW สำหรับการชาร์จตามสถานีบริการ ส่วนการชาร์จที่บ้าน ค่าใช้จ่ายจะเพิ่มขึ้นเป็น 8.7 ยูโร หรือประมาณ 308 บาท ส่วนรถที่มีขนาดใหญ่ แบตเตอรี่ความจุสูงๆ ค่าใช้จ่ายในการชาร์จแต่ละครั้ง ก็จะเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน โดยรถที่มีค่าใช้จ่ายต่อการชาร์จสูงที่สุด คือ Volkswagen ID. Buzz ที่ 12.91 ยูโร หรือ 458 บาท สำหรับการชาร์จไฟที่บ้าน และ 8.53 ยูโร (303 บาท) สำหรับการชาร์จ ณ จุดชาร์จสาธารณะ
จากการทดสอบ ทำให้เห็นได้ชัดว่า รถ EV ที่มีสมรรถนะสูง ราคาแพง ที่วิ่งได้ไกลกว่า (ตามความจุของแบตเตอรี่) ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นรถที่ให้ความคุ้มค่าในการเดินทางเสมอไป รถแต่ละคันนั้น มีลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย รวมถึงวัตถุประสงค์การใช้งานที่แตกต่างกันออกไป ทั้งนี้ทั้งนั้น…นี่เป็นเพียงการทดสอบเพื่อให้เห็นภาพและความแตกต่างในการใช้พลังงาน เพื่อเป็นปัจจัยในการเลือกพิยารณาของผู้บริโภคว่า การจะซื้อรถ EV นอกจากจะพิจารณาความจุของแบตเตอรี่แล้ว ยังต้องมองปัจจัยอื่นๆ ที่ส่งผลต่อระยะ รวมถึงค่าใช้จ่ายในการเดินทางร่วมด้วย