MG แบรนด์รถยนต์ผู้บุกเบิกตลาดรถยนต์พลังงานไฟฟ้า มีความพยายามในการนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง โดยหลังจากที่เปิดตัว รถ EV ขับเคลื่อนล้อหลัง อย่าง MG 4 Electric ไปในช่วงปลายปีที่ผ่านมา และได้กระแสตอบรับที่ดีอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดทางค่ายเตรียมปล่อย MG ES รถยนต์พลังงานไฟฟ้าสำหรับครอบครัวยุคใหม่ ซึ่งหลายๆ คนอาจจะยังสับสนว่า นี่คือ MG EP รุ่นไมเนอร์เชนจ์ หากมองเพียงภาพลักษณ์แบบผ่านๆ แต่หากเจาะลึกในรายละเอียดแล้ว MG ES ถือว่ามีรายละเอียดที่น่าสนใจมากกว่านั้น และนี่คือ 6 โหงวเฮ้ง สื่อถึงความเป็น “รถ EV พันธุ์ดี”
สิ่งที่หลายๆ คนให้ความสนใจตั้งแต่เมื่อครั้งยังเป็น MG EP ก็คือ ภาพลักษณ์ที่มีความหรูหรา โดดเด่นในรูปแบบของรถสเตชั่นแวกอน ที่ออกแบบมาให้สามารถรองรับการเดินทางในลักษณะครอบครัว แต่สิ่งหนึ่งที่อาจขัดใจแฟนๆ โดยเฉพาะกลุ่มผู้ใช้ที่ต้องการ “ลูกเล่น” ทั้งการจตกแต่งภายในที่ดูหรูหรา สิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครัน รวมถึงระบบความปลอดภัย ที่ช่วยยกระดับความอุ่นใจในการเดืนทางได้มากยิ่งขึ้น การกลับมาในครั้งนี้ของ MG ES เรียกได้ว่า “มาครบ” ทั้งการอัพเกรดภาพลักษณ์ให้ดูหรูหรา ทันสมัยมากยิ่งขึ้น ตัวรถมาในขนาดตัวถัง กว้าง x ยาว x สูง อยู่ที่ 1,818 x 4,600 x 1,543 มม. ระยะฐานล้อ 2,665 มม. ช่วยเพิ่มพื้นที่ภายในห้องโดยสาร ยกระดับความสบายให้มากยิ่งขึ้น
2.เก๋ไก๋ สะดุดตา ด้วยทริมการตกแต่งที่ไม่ซ้ำใคร
ห้องโดยสารของ MG ES ถูกยกระดับให้มีความเรียบหรู กว้างขวาง ภายใต้ดีไซน์คอนเซ็ปท์ Energetic Blue Strip พร้อมเทคโนโลยี Zero-G Seats เพื่อรองรับสรีระของผู้นั่ง กับความสามารถในกระจายน้ำหนัก ทำให้นั่งสบายตลอดเส้นทาง ตัวเบาะหุ้มด้วยหนังสังเคราะห์ Denim Texture Design ในลักษณะคล้ายผ้ายีนส์ เพื่อให้เข้ากันทริมสีฟ้าที่ตกแต่ภายในรถ MG ES โดยเบาะนั่งสำหรับผู้ขับขี่มาพร้อมฟังค์ชั่นปรับไฟฟ้า 6 ทิศทาง และสามารถปรับพวงมาลัย 4 ทิศทาง เพื่อจัดท่านั่งให้เหมาะสมและพอดีกับสรีระ และปรับมือ 4 ทิศทาง สำหรับผู้โดยสารตอนหน้า เบาะนั่งด้านหลังสามารถพับได้แบบ 60 : 40 และปรับระดับพื้นที่ถาดวางสัมภาระด้านท้ายได้ 2 ระดับ เพื่อเพิ่มพื้นที่ ซึ่งหากพับเบาะทั้งหมด จะสามารถจุสัมภาระได้มากถึง 1,367 ลิตร อีกทั้งยังมาพร้อมที่ปิดสัมภาระ เพื่อเพิ่มความเป็นส่วนตัวได้มากขึ้นอีกด้วย
สิ่งที่สื่อมวลชนหลายคนสังเกต ตอนที่ได้เห็น MG ES ในครั้งแรก ก็คือ กระจกสำหรับห้องโดยสารครึ่งคันหน้า และครึ่งคันหลัง มาในความเข้มที่แตกต่างกัน โดยในตอนแรกนั้น หลายๆ คนคิดว่าเป็นเพียงการติดฟิล์ม แต่ในความเป็นจริงแล้ว คือ ความตั้งใจของ MG ES ที่เลือกใช้กระจก Privacy Glass ที่มีความเข้มสีแตกต่างกัน เพื่อความเป็นส่วนตัวภายในห้องโดยสาร นอกจากนี้ยังอัดแน่นด้วยออพชั่นอำนวยความสะดวกที่พร้อมรองรับการใช้งานได้อย่างครบครัน ไม่ว่าจะเป็นหน้าจอแสดงผลการขับขี่ขนาด 7 นิ้ว จับคู่กับหน้าจออินโฟเทนเม้นท์ขนาด 10.25 นิ้ว ทำงานร่วมกับลำโพง 6 ตำแหน่ง (แอบลองฟังมาแล้ว…เสียง คือ ดีงามเกินราคาไปมาก) นอกจากนี้ MG ES ยังรองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay และ Android Auto รวมถึงมีช่องเชื่อมต่อ USB ถึง 4 ตำแหน่ง (Type A 3 ตำแหน่ง, Type C 1 ตำแหน่ง) และที่ขาดไม่ได้สำหรับรถยุคนี้ คือ กรองอากาศ PM 2.5
4.ยกระดับสมรรถนะ ให้กำลังที่เหนือชั้นไปอีกขั้น
ในวงการรถไฟฟ้า หรือรถที่ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า มีเพียงไม่กี่รุ่น ที่กล้าให้ Top Speed มาเกิน 180 กม./ชม. (แม้เป็นความเร็วที่อาจจะไม่ได้ใช้งาน แต่มันคือ การบ่งบอกถึงขีดจำกัดในระดับสูง) เดิมที MG EP ที่ #ทีมขับซ่า เคยได้ทำสอบ สามารถทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 185 กม./ชม. ด้วยรอบการหมุนของมอเตอร์แตะๆ 15,000 รอบ/นาที สำหรับ MG ES ก็เช่นกัน ความเร็วสูงสุดถูกเคลมเอาไว้ที่ 185 กม/ชม. แต่สิ่งที่น่าสนใจ คือ การยกระดับประสิทธิภาพของเซ็ตระบบส่งกำลังใหม่ ในชื่อ SAIC E1 Three – Electric System ที่มาพร้อมหัวใจหลักอย่างมอเตอร์ในรูปแบบ 8 Layer Hair Pin Permanent Magnet Synchronous Moto (PMSM) ที่ให้กำลังสูงสุด 177 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 280 นิวตัน-เมตร สามารถปรับความเข้มข้นในการชาร์จไฟกลับได้ 3 ระดับ พร้อมปรับการทำงานของชุดช่วงล่างใหม่ เพื่อให้ตัวรถมีความนุ่มนวลในการขับขี่ และให้ประสิทธิภาพในการยึดเกาะพื้นถนนได้ดียิ่งขึ้น
MG ES มาพร้อมระบบโครงสร้างตัวถังนิรภัย Full Space Frame พร้อมระบบความปลอดภัยพื้นฐาน รวมถึงระบบช่วยเหลือการขับขี่ขั้นสูง ADAS ถึง 20 ระบบ ซึ่งประกอบไปด้วย
- ระบบเบรกมือไฟฟ้า EPB (Electronic Parking Brake)
- ระบบป้องกันการไหลของรถโดยไม่ต้องเหยียบเบรกค้าง AVH (Auto Vehicle Hold)
- ระบบป้องกันล้อล็อก ABS พร้อมระบบกระจายแรงเบรก EBD
- ระบบเสริมแรงเบรกด้วยอิเล็กทรอนิกส์ EBA (Electronic Brake Assist)
- ระบบควบคุมการทรงตัว SCS (Stability Control System)
- ระบบควบคุมเบรกในขณะเข้าโค้ง CBC (Curve Brake Control)
- ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี และควบคุมการลื่นไถล TCS (Traction Control System)
- ระบบช่วยการออกตัวบนทางลาดชัน HAS (Hill Start Assist System)
- ระบบเปิด-ปิดไฟสูงอัตโนมัติ IHC (Intelligent High-beam control)
- ระบบสัญญาณไฟแจ้งเตือน เมื่อมีการเบรกฉุกเฉิน ESS (Emergency Stop Signal)
- ไฟส่องนำทางหลังจากดับเครื่องยนต์ (Follow Me Home Light)
- ระบบตรวจสอบความผิดปกติของลมยาง TPMS (Tire Pressure Monitor System)
- ระบบช่วยเตือนเมื่อเสี่ยงต่อการชนรถยนต์คันหน้าขณะขับขี่ FCW (Forward Collision Warning) และ ระบบช่วยเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ AEB (Autonomous Emergency Braking)
- ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน ACC (Adaptive Cruise Control)
- ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติเมื่อความเร็วต่ำ TJA (Traffic Jam Assist)
- ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน LKA (Lane keep Assist)
- ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลนและช่วยควบคุมรถเมื่อออกนอกเลน ELK (Emergency Lane Keeping Assist)
- ระบบช่วยเตือนเมื่อรถออกนอกเลน LDW (Lane Departure Warning)
- จุดยึดเบาะนั่งเด็กแบบ ISOFIX 2 จุด
- เข็มขัดนิรภัยคู่หน้าแบบดึงรั้งกลับพร้อมผ่อนแรงอัตโนมัติ
- ถุงลมนิรภัยคู่หน้า ด้านข้าง และม่านถุงลมนิรภัย
- กล้องมองภาพรอบทิศทางแบบ 3 มิติ
- สัญญาณเตือนระยะถอยหลัง
- ระบบกุญแจนิรภัยแบบ Immobilizer
6.การเชื่อมต่อสุดล้ำ เพื่อไลฟ์สไตล์ที่ทันสมัย
สิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับรถรุ่นชั้นนำของแบรนด์ MG ก็คือ ระบบการเชื่อมต่อ iSmart โดย MG ES มาพร้อมกับระบบสั่งการอัจฉริยะ i-SMART ในรูปแบบ Lite version ตอบสนองทุกไลฟ์สไตล์ และอำนวยความสะดวกสบายของผู้ใช้งานไปอีกขั้น ให้เข้าถึงระบบการใช้งานรถไฟฟ้า MG ES เพียงปลายนิ้วสัมผัส
SMART CHECK (ระบบตรวจเช็คอัจฉริยะ)
- ระบบตรวจสอบสถานะรถยนต์
- ระบบสั่งการ และระบบค้นหารถ Find My Car
- ระบบเตือนความผิดปกติของรถยนต์
- ระบบขอบเขตอิเล็กทรอนิกส์
- ระบบช่วยค้นหาศูนย์บริการ นัดหมาย และบันทึกการดูแลรักษารถยนต์ตามระยะ
- ระบบตรวจสอบสถานะแบตเตอรี่ การชาร์จ และสถานีชาร์จ
SMART COMMAND (ระบบสั่งการอัจฉริยะ)
- กุญแจดิจิตอล
- ระบบควบคุมการทำงานของระบบปรับอากาศผ่านทางสมาร์ทโฟน
- ระบบเลขาส่วนตัว MG Call Centre
- ระบบโทรออก – รับสายกรณีฉุกเฉิน Emergency Call
- ระบบสั่งการชาร์จ สถานี MG SUPER CHARGE ผ่านทางสมาร์ทโฟน
MG ES พร้อมเปิดราคาในวันที่ 21 มีนาคมนี้
และพร้อมให้สัมผัสอย่างเป็นทางการในงาน Motor Show 2023 ที่อิมแพค เมืองทองธานี ตั้งแต่วันที่ 22 มีนาคม – 2 เมษายนนี้