Ford Everest 2022 (Ford Next Gen Everest) เปิดตัวพร้อมประกาศราคาไปเป็นที่เรียบร้อยใน 4 รุ่นย่อย โดยการกลับมามาในครั้งนี้ สิ่งที่น่าสนใจนอกจากเรื่องเทคโนโลยี รวมถึงสมรรถนะในการขับขี่ที่ได้รับการยกระดับให้สูงขึ้นแล้ว คงหนีไม่พ้นเรื่องการวางระดับราคา ที่ออกสตาร์ทในรุ่นย่อย Trend เพียง 1,334,000 บาท ไล่มาที่รุ่น Sport ราคา 1,464,000 บาท และรุ่น Titanium Plus ที่มีให้เลือกทั้งในรูปแบบขับเคลื่อนสองล้อ ราคา 1,704,000 บาท และปิดท้ายด้วยรุ่นขับเคลื่อนสี่ล้อ ราคา 1,854,000 บาท
Ford Everest Sport |
รายละเอียด |
Package A |
– หน้าจอแสดงผลการขับขี่ อัพเกรดจากจาก 8.0 นิ้ว เป็น 12.4 นิ้ว
– หน้าจออินโฟเทนเม้นท์ Multi Touch อัพเกรดจาก 10.1 นิ้ว เป็น 12.0 นิ้ว – Adaptive Cruise Control พร้อมฟังค์ชั่น Stop & Go – ระบบเปิด-ปิดไฟสูง อัตโนมัติ – ระบบช่วยเบรกอัตโนมัติ พร้อมฟังค์ชั่นตรวจจับคนเดินเท้า – ระบบเตือนการชนทางด้านหน้า – ระบบช่วยหักพวงมาลัย เพื่อเลื่องการปะทะ – ระบบช่วยควบคุมรถหลังเกิดการชน – ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน – ระบบช่วยเตือนเมื่อรถออกนอกเลน – ระบบเตือนมุมอับสายตา – ระบบตรวจจับรถ ก่อนออกจากช่องจอด – ระบบป้องกันการชนเมื่อถอยหลัง – กล้องมองรอบทิศทาง 360 องศา |
หากดูจากสิ่งที่ได้เพิ่มขึ้นมาแล้ว คงต้องยอมรับว่า เป็นการเพิ่มที่เกินส่วนต่างราคา 60,000 บาท ไปมาก แต่สิ่งที่ทำให้ Ford Everest Sport + Package A มีความคุ้มค่า และเหนือกว่าแบรนด์อื่นๆ ในระดับเดียวกันก็คือ โอกาสและความสามารถในการเพิ่มออพชั่นให้ใกล้เคียงกับรถในตระกูล Top Class ของแบรนด์ ซึ่งโดยส่วนใหญ่ (หรือเกือบจะทั้งหมด) การเปลี่ยนอุปกรณ์ที่เป็น Hardware เช่น การปรับขนาดของหน้าจอแสดงผลการขับขี่ รวมถึงหน้าจออินโฟเทนเม้นท์ (ทั้งจากโรงงานหรือแม้แต่การติดตั้งเองในภายหลัง) เป็นสิ่งที่ทำได้ยาก (มาก) เช่นเดียวกับการเติมฟังค์ชั่นความปลอดภัยขั้น Advance ที่โดยส่วนใหญ่แล้ว รถในรุ่นเริ่มต้น รวมถึงรุ่นกลางๆ แทบจะไม่สามารถทำได้ ซึ่งการยกระดับออพชั่นและอุปกรณ์ความปลอดภัยด้วย Package A ใน Ford Everest Sport จึงเป็นสิ่งที่เรียกว่า “เกินความคุ้มค่า” เพราะเป็นสิ่งที่แม้จะมีเงิน หรือเติมงบมากขนาดไหน (ถ้าไม่ไปตัวท็อป) ก็อาจจะไม่สามารถหาได้จากรถในรุ่นหรือแบรนด์อื่นๆ