ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา รถ EV หรือ รถยนต์พลังงานไฟฟ้า เรียกได้ว่ามีบทบาทสำคัญ และเป็นตัวเลือกลำดับต้นๆ สำหรับคนที่กำลังมองหารถสักคันเพื่อมาใช้งาน ด้วยความที่รถเหล่านั้น โดยเด่นด้วยเรื่องสมรรถนะการขับขี่ ให้อัตราเร่งที่ดีกว่ารถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปในระดับราคาเดียวกัน โดยเทคโนโลยีที่ช่วยอำนวยความสะดวกให้กับผู้ขับขี่ในขณะใช้งาน รวมถึงยังเป็นรถที่มีค่าใช้จ่ายในการเดินทางต่ำ เมื่อเทียบกับรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปทั่วไป
สิ่งหนึ่งที่ผู้ใช้มักจะให้ความสนใจเป็นพิเศษ เวลาที่จะเลือกซื้อรถสักคัน นอกจากเรื่องสเป็คและรายละเอียดของตัวรถแล้ว ยังมีเรื่องของค่าใช้จ่ายส่วนควบ เช่น ค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาหรือเซอร์วิสเมื่อถึงระยะ รวมถึงค่าเบี้ยประกันภัยในแต่ละปี ในส่วนแรกนั้น เชื่อว่ามาถึงเวลานี้แล้ว หลายๆ ท่านคงจะพอเข้าใจแล้วว่า…ด้วยความที่เป็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้า หรือ รถ EV นั้น มีชิ้นส่วน หรืออุปกรณ์ส่วนควบ น้อยกว่ารถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาป หรือรถไฺฮบริดทั่วๆ ไป นั่นจึงทำให้ความวับซ้อนในการดูแลรักษา รวมถึงค่าใช้จ่ายใจการเซอร์วิส ต่ำกว่ารถยนต์ทั่วไปในระดับ 50% เมื่อเทียบกับการใช้งานในระยะเวลา 5 ปี หรือ 100,000 กม.
1.ปริมาณส่งผลราคา
ณ ปัจจุบัน แม้ว่ารถ EV จะมียอดการจดทะเบียนสูงขึ้นกว่าเดิมมาก แต่เมื่อเทียบอัตราส่วนกับรถที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปทั่วๆ ไปแล้ว % การจดทะเบียนของรถ EV นั้น ยังอยู่ในระดับต่ำ (ประมาณ 1x,xxx คัน) เป็นเหตุผลง่ายๆ ด้านปริมาณในลักษณะเดียวกับการซื้อขายของในจำนวนมาก – น้อย ซึ่งหากมีการซื้อในปริมาณมาก ผลิตได้ครั้งละมากๆ ต้นทุนในการผลิตแต่ละครั้งก็ย่อมต่ำกว่าการผลิตสินค้าในจำนวนน้อยๆ ที่มีต้นทุนต่อหน่วยสูงกว่า ซึ่งหลักการคำนวน ค่าเบี้ยประกันภัยของรถ EV ก็เช่นเดียวกัน โดยหากเทียบไปแล้ว อัตราส่วนระหว่างการจดทะเบียนของรถยนต์ทัวๆ ไป เมื่อเทียบกับรถ EV แล้ว จะอยู่ที่ราว 1:800 คัน หากลองคำนวนเล่นๆ จากอัตราส่วนดังกล่าวว่า 50% ของรถยนต์ทั่วไป เลือกที่จะทำประกันชั้น 1 ในราคา 10,000 บาท บริษัทประกับภัยจะไปเงินทุนไปเพื่อบริหารความเสี่ยงถึง 4,000,000 บาท ในขณะเดียวกัน หากรถไฟฟ้า 1 คันนั้น เลือกที่จะทำประกันภัยชั้น 1 เช่นเดียวกัน ที่ราคาเบี้ย 15,000 บาท บริษัทประกันภัย จะมีได้เงินสำหรับการบริหารความเสี่ยงเพียง 15,000 บาท เท่านั้น ซึ่งหากในอนาคต มีปริมาณการใช้รถ EV ที่มากขึ้น ก็มีความเป็นไปได้ที่เบี้ยประกันของรถ EV จะต่ำลงตามไปด้วย
2. ความเสี่ยงในลักษณะความเสียหาย
เราคงไม่เถียง หากจะบอกว่า อัตราส่วนในการเกิดอุบัติเหตุของทั้งรถยนต์ทั่วๆ ไป และรถยนต์พลังงานไฟฟ้า หรือรถ EV นั้น แทบไม่ต่างกันเลยแม้แต่น้อย อีกทั้งรถ EV ยังมีชิ้นส่วนที่ต้องเปลี่ยนหากมีการชำรุดเสียหายน้อยกว่า แต่อย่าลืมมองในทางกลับกันว่า ต้นทุนทางความเสียหาย หรือ Loss Ratio ในความเสียหาย 1 หน่วยนั้น ต้นทุนของชิ้นส่วนรถ EV กับรถทั่วไป มีมูลค่าที่แตกต่างกันค่อนข้างมากในระดับ 30-40% เช่น รถ EV ยุคดั้งเดิม ที่ไม่ได้ออกแบบแพลตฟอร์มมาเพื่อรองรับและป้องกันความเสียหายของชุดแพคแบตเตอรี่ หากเกิดการกระทบกระแทกจากด้านล่าง ทำให้ส่วนหนึ่งของแบตเตอรี่เกิดการชำรุด เสียหาย จนทำให้ต้องเปลี่ยนแบตเตอรี่ทั้งลูกในราคา “ครึ่งหนึ่ง” ของตัวรถ ต่างกับรถยนต์ทั่วไปที่โอกาสความเสียหายต่อชิ้นส่วนคำคัญนั้นน้อยกว่ามาก แต่อย่างไรก็ตาม ด้วยการออกแบบของรถ EV ยุคใหม่ อาจทำให้ต้องมีการประเมินราคาเบี้ยประกันภัยของรถ EV กันอีกครั้ง แต้วยความที่รถ EV ยุคนี้ มีการพัฒนาแพลตฟอร์ม รวมถึงระบบรองรับ ชุดป้องกันแบตเตอรี่มาอย่างแน่นหนา นั่นจึงทำให้โอกาสการกระทบกระแทกจนเกิดความเสียหายนั้นน้อยลงมา
นอกจาก 2 เหตุผลในด้านบนแล้ว สิ่งหนึ่งที่ทำให้ราคาเบี้ยประกันภัยสำหรับรถ EV มีราคาสูงกว่ารถยนต์ทั่วไป อยู่ที่เงื่อนไขการชดเชยค่าเสียหายที่ครอบคุลมมากกว่าลักษณะการใช้งานของรถทั่วไป เช่น การให้ความคุ้มครองอุปกรณ์สำหรับการชาร์จ ในกรณีที่เกิดการสูญหาย, เสียหาย หรือเพลิงไหม้ รวมถึงบริการในส่วนอื่นๆ เช่น รถยก และบริการช่วยเหลือต่างๆ
เพื่อให้ผู้บริโภคมีทางเลือกในการจ่าย ค่าเบี้ยประกันรถ EV ในระดับที่ต่ำลง ณ ปัจจุบัน ทาง สํานักงานคณะกรรมการกํากับและส่งเสริม การประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ) หารือกับบริษัทผู้ให้ประกันภัย พร้อมลงความเห็นในแนวทางเดียวกันว่า ให้ทางบริษัทประกันภัย จัดทำเอกสารแนบท้าย กำหนดทางเลือกเฉพาะกรณีแบตเตอรี่สำหรับรถ EV ได้รับความเสียหาย และต้องมีการเปลี่ยนแบบยกชุดเท่านั้น (กรณีใช้วิธีการซ่อม บริษัทรับผิดชอบทั้งหมด) โดยให้มีทางเลือก 3 กรณี ให้ผู้เอาประกันภัยเลือกข้อใดข้อหนึ่ง และบริษัทจะให้ส่วนลดเบี้ยประกันภัย 10-25% ดังนี้
- จำกัดจำนวนเงินความคุ้มครองของแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า โดยบริษัทจะให้ความคุ้มครองไม่ต่ำไปกว่า 50% ของมูลค่าแบตเตอรี่
- กำหนดความรับผิดชอบส่วนแรก โดยจะระบุไม่เกิน 15% ของมูลค่าแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า
- Copayment กำหนดให้ผู้เอาประกันภัย ต้องร่วมรับผิดชอบความเสียหายร่วมไม่เกิน 15%