แม้จะเกิดก่อนการเวลาไปหน่อยสำหรับระดับเทคโนโลยีและประสิทธิภาพเมื่อนำมาใช้ในรภไฟฟ้า แต่ปัจจุบันการพัฒนาเรื่องรถพลังโซลาร์ พวก Solar-powered cars ก็กำลังก้าวหน้าไปตลอดแบบพยายามดึงอนาคตมาให้เกิดเร็วขึ้น เพราะรู้กันมานานแล้วว่าพลังงานแสงแดดจากดวงอาทิตย์นั้นเราได้มาฟรี เพียงแต่จะแปลง ดูดเอามาเก็บใช้ได้มากน้อยเท่าใด คุ้มค่า มีระยะคืนทุนประมาณใดเท่านั้นเอง 

  “การแปลง” ที่ว่านั้นขอใช้คำว่า Convert ซึ่งใช้ Photovoltaic cells ทำการแปลงเปลี่ยนพลังแสงแดด แล้วจัดการ “ดูดเอามาเก็บ”  หรือ Store ไว้ในแบตเตอรีในรูปพลังงานไฟฟ้า นำมาใช้ “เสริมพลัง” ให้ BEV ทั้งหลาย ที่กล่าวว่าใช้เสริมก็เพราะเทคโนโลยีปัจจุบันยังไม่ก้าวถึงขั้นที่จะใช้พลังงานส่วนนี้มาป้อนเลี้ยงให้รถมันในระดับเพียงพอความต้องการ  เหมือนรถ EV รูปแบบอื่นพวก Full electric, PHEV, Hybrid electric ได้   แต่วงการต่างก็สู้ต่อไป โดยเฉพาะเกาหลีใต้ ญี่ปุ่น จีน ไม่ได้ปล่อยให้พวกฝรั่งเขาว่ากันฝ่ายเดียวเหมือนหลายสิบปีที่ผ่านมา มีการคาดการณ์ว่าตลาดของยานยนต์พลังโซลาร์จะมีขนาดถึง 689,000 US Dollars ในปี 2027 ที่จะถึงนี้ !!  

 เท่าที่ติดตามวงการอยู่บ้าง พบว่านอกจากเราจะต้องพัฒนาเทคโนโลยีให้ล้ำกว่านี้ แล้วยังต้องคำนึงถึง “รูปลักษณ์” ของรถทั้งคันให้ออกมาดูดี คนรับได้ ไม่ประหลาดจนขายไม่ออก ทั้งนี้เพราะเมื่อเราต้องการแปลง ดูดเก็บพลังแดดมาให้มาก แผงโซลาร์ที่บรรจุ Photovoltaic cells จำนวนมาก ก็จะถูกติดตั้งไว้คลุมพื้นที่บนตัวรถให้รับแสงได้มากสุด ในรถทดสอบนั้นทำได้ มีการพองเงี่ยง แผงบานอย่างไร หนักเท่าใดก็ย่อมได้ แต่ถ้าจะทำขายจำต้องเก็บงานให้เรียบร้อย ไม่ไปเพิ่มน้ำหนักส่วนบนของรถ ทำให้พื้นที่แผงเซลล์ที่ว่านี้มึปริมาณน้อยลง จึงทำหน้าที่เป็นแค่แหล่งพลังงานเสริมดังที่ได้กล่าวมาแล้วนั่นเอง 

ช่วงไหนแดดดี พลังงานฟรีจะมีมาก

จากรูปประกอบนี้ ทำให้เราเห็นว่าช่วงเดือนในแต่ละฤดูรถที่เขานำทดสอบก็จะมี หนึ่งระยะทางที่วิ่งได้ (Range) มากน้อยต่างกัน สองสัดส่วนของพลังงานที่ถูกรถทดสอบนำไปใช้มากน้อยต่างกัน ในช่วงเดือนที่ 5-7 จะมีสองค่านี้สูงสุด (ตามระดับแสงแดดที่ได้รับ) สามพลังจากแสงอาทิตย์อย่างเดียวขับได้ระยะทางสูงสุดประมาณ 300 กิโลเมตรเท่านั้น อนึ่งการทดลองนี้ทำที่ยุโรป ซึ่งหนึ่งมีการกำหนดฤดู ช่วงเดือน ปริมาณแดดแต่ละช่วงต่างจากบ้านเรา สองปริมาณ ความเข้มของแสงต่างกับย่านบ้านเราซึ่งเป็นเขตร้อน จึงเรียนมาเพื่อทราบ

 จากนั้นขอให้ท่านมาดูรูปนี้ เป็นระดับของแสงแดดในแต่ละช่วงของวัน ทั้งนี้ก็จะต่างกันไปในแต่ละช่วงเดือน ฤดู ของประเทศเดียวกันและต่างประเทศกัน ซึ่งในบริบทของบทความที่เข้าไปอ่านดูนี้ เขาให้ช่วงที่ถือว่ามีประสิทธิภาพต่อ Photovoltaic cells ในการผลิตพลังไฟฟ้าออกมาคือในช่วงเวลาที่เป็นสีเหลือง   ซึ่งแถวอเมริกาทางเหนือ ยุโรปมีแค่ 3-5 ชั่วโมง ที่แสงแดดมีปริมาณสูงสุดในการผลิตพลังงานไฟฟ้า เป็นช่วงที่เรียกว่า “Three-Five Peak Sun Hours” 

“ปล้อน” อยากทำแบบ TESLA 

 ตอนที่มีการนำ TESLA Model3 มาลองติดตั้งแผงโซลาร์กระจายไปบนกระโปรงหน้าหลัง หลังคา ครอบลุมพื้นที่ 3 ตารางเมตร ทำพลังไฟออกมา 400 วัตต์ ลองเอา Five Peak Sun Hours ปล้อนใช้เวลาว่างจากการทำอาหารหมาไปคำนวณเล่นๆ โดยตั้งสมมติฐานว่าระบบมันมีประสิทธิภาพในการใช้พลังงาน 100% ในวันที่แดดแจ๋เต็ม 5 ชั่วโมง ทำเล่นๆ(แต่คำนวณจริง) ได้ออกมาดังนี้

    400 W x 5 h = 2000 Wh  หรือ  2 kWh ต่อวันเท่านั้น อยากรู้เหลือเกินว่าวิ่งใช้งานจริงได้ประมาณไหน ??

ลองเอามาตรฐานแบตรถไฟฟ้าปัจจุบันของ TESLA ที่มีขนาด 60 kWh สามารถวิ่งได้ประมาณ 300-400 กิโลเมตร พลังงานที่เราได้จากโซล่าร์เซ็ลล์นี่ มีค่าประมาณ 4% เท่านั้น(2 kWk เทียบกับ 60 kWh) คือน่าจะวิ่งได้จริงประมาณ 12-16 กิโลเมตรเท่านั้น ค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 14 กิโลเมตร สมมติว่าปล้อนใช้รถเดือนละ 1,400 กิโลเมตรโดยใช้พลังไฟฟ้าที่ได้จากโซลาร์เซลล์นี้เพียงอย่างเดียว เขาก็จะใช้ไฟไปเท่ากับ

       1,400/14 x 2 kWh หรือเท่ากับ 200 kWh 

ในแง่ระยะการคืนทุน เมื่อนำค่าไฟจากการไฟฟ้านครหลวงเกินกว่า 100 หน่วยขึ้นไปเท่ากับ 3.24 บาทมาจับ ค่าออกมา 324 บาทต่อเดือน นี่คือจำนวนเงินที่ปล้อนประหยัดได้ต่อเดือน

 สมมติว่า “ปล้อน” สามารถนำแผงโซลาร์ SCG Smart package 1.35 kW ที่ตั้งราคาไว้ที่ 99,000 บาท ไม่รวมค่าวงจร เดินสาย ติดตั้ง สมมติอีกว่าประมาณ  50,000 บาท รวมต้นทุน 149,000 บาท ปล้อนก็ต้องใช้เวลาทั้งสิ้น

       149,000 /324  = 459.8 เดือน หรือประมาณ 38.3 ปี จึงจะคืนทุน !! 

เรื่องนี้เองที่ทำให้ “ปล้อน” นอนไม่หลับ เพราะคิดว่าตัวเองคงจะตายก่อนถึงวันนั้น ความคิดที่จะเอา “ไอ้หน้าแหลม” รถสมัยอกหักครั้งแรกมาแปลงเป็นโซลาร์เซลล์ก็พลันสลายไป ราว “ปราสาททราย ของสุรสีห์ อิทธิกุล” …