Lotus Emira ตัวแรงลูกผสมหลากสายพันธุ์ AMG ก็มี Toyota ก็มา…ทิ้งทวนก่อนเข้าสู่ยุค Sport EV เต็มรูปแบบ


เมื่อต้นปีที่ผ่านมา แบรนด์สปอร์ตสัญชาติอังกฤษอย่าง Lotus ได้ออกมาประกาศว่าจะยุติการผลิตสปอร์ตในตำนานทั้ง 3 รุ่น ไม่ว่าจะเป็น Elise, Exige รวมถึง Evora เพื่อปูทางสู่การก้าวไปอีกขั้นในวงการสปอร์ตพลังงานไฟฟ้า ทั้งในรูปแบบไฮบริดและ EV แต่ก่อนที่เวลานั้นจะมาถึง ทางค่าย Lotus ทิ้งทวนด้วยสปอร์ตเครื่องยนต์สันดาปภายในในชื่อ Lotus Emira ผู้มาแทนสปอร์ตในตระกูล Evora และพร้อมท้าชน Porsche 718 Cayman ด้วยค่าตัวที่ต่ำกว่า 60,000 ปอนด์

Lotus Emira ว่าที่ ICE Power รุ่นสุดท้ายของค่าย Lotus

จุดเด่นที่ยังคงรักษาไว้ เพื่อกลิ่นอายของความสนุก

Lotus Emira มาพร้อมพื้นฐานอันเป็นเอกลักษณ์ที่ต่อยอดมาจากตระกูลสปอร์ตในช่วงยุค 90 เช่น การใช้โครงสร้างอลูมิเนียมที่มีน้ำหนักเบา ซึ่งเริ่มใช้เป็นครั้งแรกใน Lotus Elise ปี 1996 โดยมิติตัวถังของ Lotus Emira นั้น ดูจะไม่ต่างจาก Evora มากนัก ฐานล้อยังคงมาในขนาด 2,575 มม. เท่ากัน มีการขยายในส่วนของตัวถังหน้า – หลัง ให้ยางขึ้นอีกเพียง 20 มม. เท่านั้น

ครั้งแรกกับขุมพลังจาก AMG

นอกจากความเป็นสปอร์ตและฟีลลิ่งการขับขี่ที่สนุกสนานตามแบบฉบับของทางค่ายแล้ว สิ่งที่ถูกเติมเข้ามาใน Lotus Emira คือ เรื่องของความสบายในการขับขี่ รวมถึงฟังค์ชั่นในการใช้งานที่ตอบโจทย์คนยุคใหม่ได้อย่างลงตัวมากขึ้น ไม่โล้นเหมือนสปอร์ตตระกูลอื่นๆ ที่เคยมีมา ด้วยขุมพลังเลือกคบกับเครื่องยนต์บล็อค 2.0 ลิตร 4 สูบ เทอรโบ แบบเดียวกับที่ประจำการใน Mercedes-AMG แม้ว่าทาง Lotus จะไม่ได้ระบุว่า เครื่องยนต์บล็อคนี้ยกมาจาก A35 แต่เมื่อพิจารณาจากความเป็นไปได้ คือ…มันต้องใช่แน่ๆ ก่อนที่จะนำมาอัพเกรดพละกำลังจาก 300 ม้าต้นๆ ให้กลายเป็น 360 แรงม้า สิ่งที่แตกต่างอย่างชัดเจน คงหนีไม่พ้นระบบการขับเคลื่อนที่เลือกใช้แบบ 2 ล้อหลัง ขับเคลื่อนด้วยชุดเกียร์ DCT 7 สปีด ไม่ว่าคุณจะชอบหรือไม่ แต่ Lotus Emira ก็พร้อมพาคุณทะยานจากจุดหยุดนิ่งถึงที่ความเร็ว 100 กม. ได้ใน 4.5 วินาที ซึ่งเร็วกว่ารถตรงบอดี้ที่ขับเคลื่อนสี่ล้ออยู่กว่า 0.5 วินาที

เครื่องญี่ปุ่น จะยังคงมีมาให้เลือก…เหมือนเดิม

หากรู้สึกว่าความเร้าใจของขุมพลังจาก AMG ยังไม่ค่อยเต็มไม้เต็มมือ งานนี้ Lotus Emira จัดเครื่องเคียงเป็นทางเลือกสำหรับสายโหด ซึ่งขุมพลังที่ว่ามา ก็ไม่ใช่บล้อคอื่นไกล เพราะอันที่จริงแล้ว เป็นบล็อคเก่าที่เคยใช้ใน Exige Sport 410 และ Evora GT410 ซึ่งเป็นเครื่องยนต์บล็อค V6 พิกัด 3.5 ลิตร พ่วงด้วย Supercharge จาก Toyota ให้กำลัง 400 แรงม้า พร้อมแรงบิด 430 นิวตัน-เมตร ขับเคลื่อนด้วยระบบเกียร์ที่มีให้เลือกทั้งอัตโนมัติ 6 สปีด และธรรมดา 6 สปีด แม้จะยังไม่มีการคอนเฟิร์มว่า Lotus Emira กับขุมพลัง 3.5 ลิตร ซูเปอร์ชาร์จ จะจี๊ดจ๊าดขนาดไหน แต่คาดว่าจะเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ได้ในไม่เกิน 4.2 วินาที และทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 290 กม./ชม.

ภายในล้ำๆ สิ่งอำนวยความสะดวกเพียบ…แบบที่ไม่เคยเห็นจาก Lotus รุ่นไหนๆ

ไม่ยึดติดกับสิ่งทีกีดขวางการก้าวไปข้างหน้า

ภาพติดตาที่เรามักจะเห็นในสปอร์ตจากค่าย Lotus คือ ห้องโดยสารที่ถูกดีไซน์แบบดิบๆ ไร้ซึ่งสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย แต่สำหรับ Lotus Emira คงไม่ใช่แบบนั้นอีกต่อไป โดยทางค่ายต้องการแสดงให้เห็นถึงมุมมองในการก้าวไปข้างหน้า การพัฒนาจึงต้องบังเกิด จากเดืมที่เคยเป็น Head Unit แบบ 2 DINS คราวนี้เปลี่ยนมาใช้หน้าจอสัมผัสขนาด 10.25 นิ้ว รองรับการใช้งานทั้ง Apple Carplay และ Android Auto เช่นเดียวกับหน้าจอแสดงผลการขับขี่ในรูปแบบ TFT ที่วางอยู่หลังพวงมาลัยแบบท้ายตัด เบาะนั่งปรับไฟฟ้า 4 ทิศทาง ให้มาเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน แต่หากยังไม่จุใจ ทางค่ายจัดแบบปรับไฟฟ้า 12 ทิศทาง มาให้เลือกเป็นออพชั่น นอกจากนี้ยังมีฟังค์ชั่นอำนวยความสะดวก เช่น กุญแจแบบ Keyless Go, ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ, เซ็นเซอร์ถอยจอด โดยยังสามารถเลือกแพคเกจช่วยในการขับขี่แบบ Advance เช่น Adaptive Cruise Control, ระบบป้องกันการออกนอกเลน รวมถึงระบบช่วยการขับขี่อื่นๆ แต่สิ่งที่ต้องแลกมาเพื่อเพิ่มแพคเกจพิเศษเหล่านี้เข้าไปก็คือ เรื่องของน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นเป็น 1,405 กก. ซึ่งหากต้องการคงสมรรถนะการขับขี่ที่ดีที่สุดไว้ อาจต้องมี Lotus Drivers Pack เพื่อปรับการทำงานของช่วงล่างให้เฟิร์มขึ้น และเลือกใช้ยาง Michelin Pilot sport Cup 2 ที่มีประสิทธิภาพในการยึดเกาะที่ดีกว่า โดย Lotus ยังคงเลือกระบบการบังคับเลี้ยวเป็นแบบไฮดรอลิคส์ (เช่นเดียวกับ McLaren) แทนแบบไฟฟ้า เนื่องจากให้การตอบสนองได้ดีกว่า ซึ่งน่าจะตอบโจทย์สำหรับ Lotus Emira ที่มีระยะความกว้างของล้อมากที่สุดเท่าที่ Lotus เคยทำมา

สิ่งหนึ่งที่ทางค่ายต้องการจะสื่อ คือ Lotus Emira ไม่ได้มีไว้แค่ขับเล่น ขับหล่อไปวันๆ แต่ยังเป็นรถที่สามารถใช้งานได้จริง ด้วยการออกแบบพื้นที่ใช้สอยเพื่อเพิ่มความสะดวกให้กับผู้ขับขี่ด้วย เช่น การออกแบบที่วางแก้วน้ำขนาด 500 มล. ที่ประตู นอกจากนี้ยังมีพื้นที่เก็บสัมภาระหลังเบาะอีก 208 ลิตร รวมถึงช่องเก็บของด้านท้ายอีก 151 ลิตร ซึ่งเพียงพอสำหรับการใส่ถุงกอล์ฟ…เห็บแบบนี้แล้ว ถูกใจสายสปอร์ตกันไหมครับ ?

ขอขอบคุณข้อมูลจาก Carscoop, Motor 1

 


Related posts

Bentley ยัน…เลิกใช้เครื่องยนต์ W12 เตรียมหันมาเอาดีกับขุมพลัง Ultra Performance Hybrid

Mugen Honda Civic Type R ปล่อยชุดแต่ง Group A จัดเต็มทั้งความหล่อและสมรรถนะที่เหนือชั้นยิ่งขึ้น

Porsche Taycan 2024 ยกระดับประสิทธิภาพสมบูรณ์แบบครบครันในทุกมิติ

เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้ เพื่อสร้างประสบการณ์นำเสนอคอนเทนต์ที่ดีให้กับท่าน รวมถึงเพื่อจัดการข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์ที่ดีบนบริการของเว็บไซต์เรา หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไปโดยไม่มีการปรับตั้งค่าใดๆ นั่นเป็นการแสดงว่าท่านอนุญาตยินยอมที่จะรับคุกกี้บนเว็บไซต์และนโยบายสิทธิส่วนบุคคลของเรา เรียนรู้เพิ่มเติม