Great Wall Motor เปิดตัว GWM Tank 300 HEV เวอร์ชั่นทำตลาดในประเทศไทยด้วย 2 รุ่นย่อย โดยวางระดับราคาไว้ที่ 1.649 ล้านบาท สำหรับรุ่น Pro และ 1.799 ล้านบาท สำหรับรุ่น Ultra ซึ่งด้วยระดับราคาที่ต่างกันอยู่ 1.5 แสนบาท GWM Tank 300 HEV ทั้ง 2 รุ่นย่อย จะได้มิติตัวถัง รวมถึงเครื่องยนต์ 2.0 ลิตร ไฮบริด และระบบขับเคลื่อน 4 ล้อแบบ Full Time All Wheel Drive ที่มาพร้อมโหมดการขับขี่ 9 รูปแบบ เหมือนๆ กัน แต่ทั้งคู่นั้น มีความแตกต่างในเรื่องอุปกรณ์ ออพชั่น ที่แยกความเป็นรถสำหรับเน้นใช้งานทั่วไป และการใช้งานในเส้นทางออฟโร๊ด ที่เน้นการยกระดับประสิทธิภาพการขับขี่ในสภาพพื้นผิวที่มี Traction ต่ำ รวมถึงยกระดับภาพลักษณ์ เพื่อการใช้งานที่สะดวกสบายมากยิ่งขึ้น ซึ่งความแตกต่างระหว่าง GWM Tank 300 HEV รุ่น Pro และ Ultra มีดังนี้
รายละเอียดที่แตกต่างระหว่าง GWM Tank 300 HEV รุ่น Pro และรุ่น Ultra
อย่างที่รู้กันดีว่า GWM Tank 300 HEV ทั้งรุ่น Pro และ Ultra ใช้เครื่องยนต์เบ็นซิน เทอร์โบแปรผัน พิกัด 2.0 ลิตร แบบไดเร็คอินเจ็คชั่น ซึ่งเฉพาะเครื่องยนต์นั้นให้กำลังอยู่ที่ 244 แรงม้า กับแรงบิด 380 นิวตัน-เมตร นอกจากนี้…ยังมีมอเตอร์ไฟฟ้าเป็นตัวช่วยยกระดับสมรรถนะการขับขี่ โดยมอเตอร์เซ็ตนี้ มีกำลังอยู่ที่ 106 แรงม้า พร้อมกับแรงบิด 268 นิวตัน-เมตร สิ่งที่น่าสนใจ คือ GWM Tank 300 HEV ที่ออกแบบมาให้เป็นรถขับเคลื่อนสี่ล้อ All Wheel Drive แบบ Full Time โดยพื้นฐาน (8 โหมดการขับขี่ เซ็ตมาให้ขับเคลื่อนด้วยล้อทั้งสี่เป็นหลักทั้งสิ้น) จะมีเพียงในขณะที่เลือกใช้โหมด Eco เท่านั้น ที่ตัวรถจะขับเคลื่อนด้วยล้อคู่หลัง ซึ่งแน่นอนว่า ด้วยพื้นฐานของระบบขับเคลื่อนที่แตกต่างกันดังกล่าว ส่งผลให้ GWM Tank 300 HEV มีอัตราเร่งในแต่ละย่านความเร็วที่แตกต่างกันของโหมด Sport ที่ขับเคลื่อนด้วยล้อทั้งสี่ และโหมด Eco ที่ตัวรถจะขับเคลื่อนเพียงสองล้อคู่หลัง โดยการทดสอบอัตราเร่ง ของ #ทีมขับซ่า จะใช้เครื่องมือ VBox Sport เป็นอุปกรณ์ในการทดสอบ
อัตราเร่ง GWM Tank 300 HEV ในโหมด Sport (AWD) และ Eco (RWD)
ประสิทธิภาพการเบรก GWM Tank 300 HEV
ความเร็ว (กม./ชม.) | ระยะทางการเบรก (เมตร) | เวลาในการเบรก (วินาที) |
120 – 0 | 66.92 | 4.02 |
100 – 0 | 46.31 | 3.34 |
80 – 0 | 29.26 | 2.66 |
60 – 0 | 16.28 | 1.99 |
40 – 0 | 7.28 | 1.34 |
แม้ว่า GWM Tank 300 HEV จะเป็นรถทรงกล่องที่มีน้ำหนักมากกว่า 2 ตัน แต่อีกสิ่งหนึ่งที่ทำได้น่าสนใจ คือ การเซ็ตประสิทธิภาพของชุดเบรก ที่ทำตัวเลขออกมาเกาะกลุ่มกับรถ PPV ทีททำตลาดในบ้านเรา โดยระยะเบรกจาก 100 กม./ชม. จนหยุดนิ่ง ทำได้ในระยะทาง 46.31 เมตร ซึ่งเป็นตัวเลขที่ดีกว่าปิคอัพสมรรถนะสูงในระดับราคาใกล้เคียงกันถึง 5 เมตร หรือประมาณ 1 ช่วงคันรถ แต่สิ่งที่เป็นจุดสังเกต เมื่อให้น้ำหนักเบรกกับ GWM Tank 300 HEV มากจนเกินไป คือ จะเกิดอาการหน้าจม (โช้กหน้ามีอาการยุบตัวจากโมเมนตัมค่อนข้างมาก ทำให้ควบคุมทิศทางได้ค่อนข้างลำบาก จนถึงอาจเกิดอาการหน้าส่ายขณะที่เบรกอย่างรุนแรง) ซึ่งหากสำหรับการใช้งานทั่วๆ ไป ไม่รู้สึกถึงอาการนี้ และถือว่าเบรกเซ็ตนี้ ทำหน้าที่ของตัวเองได้อย่างน่าพอใจ
อัตราสิ้นเปลือง GWM Tank 300 HEV
อัตราสิ้นเปลือง |
ในเมือง |
นอกเมือง |
อัตราสิ้นเปลืองรวม |
|||
(กม./ลิตร) | Normal | Eco | Normal | Eco | Normal | Eco |
GWM Tank 300 HEV | 7.8 | 9.7 | 9.1 | 10.0 | 8.4 | 9.8 |
เมื่อเรื่องอัตราเร่งโอเค ประสิทธิภาพการเบรกใช้ได้ มาถึงอีกหนึ่งหัวข้อสำคัญที่คุณจะทำใจกับอัตราสิ้นเปลืองของ GWM Tank 300 HEV ไหวไหม ? ตัวเลขที่ #ทีมขับซ่า ทดลองออกมาจากการขับขี่ทั่วๆ ไป ทั้งในและนอกเมือง สำหรับการขับขี่แบบปกติในธรรมชาติของตัวรถ ทีเป็นแบบขับเคลื่อนสี่ล้อ Full Time (ที่แค่ปรับเป็นขับสองได้ในโหมด Eco) ในเมือง รถติดสลับหยุดนิ่ง ความเร็วเฉลี่ยประมาณ 30 กม./ชม. ทำได้อยู่ที่ 7.8 กม./ลิตร ส่วนการขับขี่นอกเมือง ที่ความเร็วในย่าน 100 – 120 กม./ชม. อัตราสิ้นเปลืองในโหมด Normal ออกมาอยู่ที่ 9.1 กม./ลิตร แต่หากทำความเช้าใจสำหรับการใช้งานทั่วไป และเลือกขับขี่ด้วยโหมด Eco อัตราสิ้นเปลืองจะทำออกมาได้ดีขึ้นเล้กน้อยที่ 9.7 กมง/ลิตร สำหรับการขับขี่ในเมือง และขยับเพิ่มเป็น 10.0 กม./ลิตร เมื่อขับขี่ด้วยความเร็วคงที่แบบไม่เกินที่กฎหมายกำหนด ตัวเลขดังกล่าว หากเทียบกับกลุ่ม PPV แล้ว ถือว่าสิ้นเปลืองกว่าในระดับหนึ่ง แต่เมื่อเทียบกับสมรรถนะ อัตราเร่ง ความหลากหลายในโหมดการขับขี่ ก็ยังถือว่า GWM Tank 300 HEV มีคาแร็กเตอร์ในตัวเองที่ค่อนข้างชัดเจน ซึ่งรถระดับราคาเดียวกัน…ไม่สามารถให้ได้