การกลับมาของ Ford Ranger เจนเนอเรชั่นที่ 3 หรือ Next Gen Ranger ถือว่าเป็นอีกหนึ่งในการสร้างปรากฏการณ์ของวงการปิคอัพเมืองไทย ด้วยการเปลี่ยนแปลงองประกอบในหลายๆ ด้าน ที่สะท้อนความเป็นผู้นำของแบรนด์ Ford ได้อย่างชัดเจน ตั้งแต่เรื่องของภาพลักษณ์ รวมถึงขนาดตัวถังที่มีการปรับไซส์ให้ใหญ่มากยิ่งขึ้น นอกจากนั้นแล้ว สิ่งที่สร้างความตื่นตาตื่นใจใน Ford Next Gen Ranger คงหนีไม่พ้นฟังค์ชั่นการใช้งาน รวมถึงโหมดการขับขี่ในรูปแบบต่างๆ ที่ช่วยเติมประสิทธิภาพและความสะดวกในการใช้งานได้มากยิ่งขึ้น
วัดกันด้วยเรื่องขนาด ด้วยความที่ Ford Next Gen Ranger
ถูกยืดระยะฐานล้อของแพลตฟอร์ม T6 เวอร์ชั่นที่ 2 ให้ยื่นมาทางด้านหน้าอีก 50 มม. ทำให้ตัวรถมีระยะฐานล้อที่ยาวกว่ารถในคลาส จากเดิมที่เคยยาวที่สุดอยู่แล้ว ในครั้งนี้เรียกว่า “กินขาด” โดย Ford Next Gen Ranger มีระยะฐานล้อยาวกว่ารถที่ฐานล้อสั้นที่สุดในคลาสถึง 270 มม. นอกจากนี้ระยะด้านข้างของตัวถังยังถูกยืดออกไปอีก 50 มม. นั่นจึงส่งให้ วัดกันด้วยเรื่องขนาด ด้วยความที่ Ford Next Gen Ranger ถูกยืดระยะฐานล้อของแพลตฟอร์ม T6 เวอร์ชั่นที่ 2 ให้ยื่นมาทางด้านหน้าอีก 50 มม. ทำให้ตัวรถมีระยะฐานล้อที่ยาวกว่ารถในคลาส จากเดิมที่เคยยาวที่สุดอยู่แล้ว ในครั้งนี้เรียกว่า “กินขาด” โดย Ford Next Gen Ranger มีระยะฐานล้อยาวกว่ารถที่ฐานล้อสั้นที่สุดในคลาสถึง 270 มม. เป็นรถที่มีความกว้างที่สุดในคลาส โดยมีความกว้างตัวถังอยู่ที่ 1,918 มม. สิ่งทีได้มาเป็นของแถม แม้ว่า Ford จะชัดเจนในแนวทางการทำตลาดด้วยการออกแบบแชสซีส์ใหม่ ว่าไม่ได้เน้นการบรทุกหนัก แต่เน้นเพื่อการใช้งานในรูปแบบส่วนตัวเป็นหลัก แต่โดยรวมแล้ว Ford Next Gen Ranger ยังมีพื้นที่กกระบะมากกว่าเพื่อนร่วมคลาสอยู่ดี
ด้านพละกำลังของ Ford Next Gen Ranger
อันที่จริงแล้วในเจนเนอเรชั่นนี้ ใน 7 รุ่นย่อย ทั้งในรูปแบบ Sport และ Wildtrack มีขุมพลังให้เลือก 2 บล็อค ตั้งแต่ 2.0 ลิตร เทอร์โบเดี่ยว 170 แรงม้า และ 2.0 ลิตร ไบ-เทอร์โบ 210 แรงม้า โดยมีระบบเกียร์ให้เลือกถึง 4 รูปแบบ ตั้งแต่เกียร์ธรรมดา 5 และ 6 สปีด, เกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด และเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด สำหรับ Ford Next Gen Ranger รุ่น Wildtrack มาพร้อมขถมพลัง 2.0 ลิตร Bi-Turbo จับคู่ชุดเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด แม้ว่าพละกำลังจะถูกลดทอนจากเจนเนอเรชั่นก่อนไป 3 แรงม้า แต่ในภาพรวมแล้ว Ford Next Gen Ranger ยังเป็นปิดอัพที่ดูมีพละกำลัง รวมถึงระบบส่งกำลังที่มีภาษีดีที่สุดในคลาส โดยเฉพาะเมื่อนำมารวมกับโหมดการขับขี่ที่มีให้เลือกอย่างหลากหลายถึง 5 โหมด ซึ่งช่วยตอบโจทย์ในการใช้งาน และช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถเลือกรูปแบบในการขับเคลื่อน ได้เหมาะสมกับสภาพเส้นทางได้มากยิ่งขึ้น
หากลองเปรียบเทียบอัตราเร่งรถปิคอัพดีเซลที่ทำตลาดอยู่ ณ ปัจจุบัน
จะพบว่าเครื่องยนต์ในพิกัด 2.0 ลิตร Bi-Turbo ใน Ford Ranger มีสมรรถนะในระดับที่ไม่ธรรมดาตั้งแต่ในเจนเนอเรชั่นก่อน โดยเมื่อวัดอัตราเร่งจากจุดหยุดนิ่ง ถึงที่ความเร็ว 40 และ 60 กม./ชม. เป็นรองเพียงเครื่องยนต์ 3.0 ลิตร เทอร์โบใน Isuzu D-Max และ Mazda BT-50 แต่หากเมื่อตั้งตัวได้แล้ว เป็นทางฝั่ง Ford Ranger ที่ตีตื้นและไล่แซงผ่านความเร็ว 100 กม./ชม. ได้เร็วที่สุดในคลาส ด้วยเวลา 10.37 วินาที และวิ่งผ่านระยะควอเตอร์ไมล์ หรือ 402 เมตร ได้เร็วที่สุด ด้วยเวลา 17.61 วินาที โดยทำความเร็วเข้าเส้นที่ 131.2 กม./ชม.