Porsche เปิดตัว 911 GT3 ตัวแรงในรหัสบอดี้ 992 ไปเมื่อช่วงต้นปี 2021 ซึ่งนับจากเวลานั้นมา ก็มีแฟนๆ ของค่ายโล่ห์อัศวินต่างรอคอยเวอร์ชั่นที่สุดกว่าอย่าง Porsche 911 GT3 RS ที่คาดว่าจะเปิดตัวออกมาในเวลาไม่นาน แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่มีวี่แวววที่ทางค่ายจะเปิดตัวรถแข่งเวอร์ชั่นถนนรุ่นดังกล่าว จนกลายเป็นว่า รุ่นที่ทำมาสำหรับการแข่งขันจริงจังอย่าง Porsche 911 GT3 R แซงเปิดตัวไปเป็นที่เรียบร้อย
Porsche 911 GT3 RS (992) ตัวแข่งในคราบรถใช้งานบนถนน
แต่เมื่อถึงเวลา…ค่าย Porsche ก็แสดงให้เห็นแล้วว่า คำโบราณที่ว่า “ช้าๆ…ได้พร้าเล่มงาม” นั้นมีอยู่จริง เพราะการถือกำเนิดของ Porsche 911 GT3 RS เรียกได้ว่าสร้างความตกตะลึงให้กับสาวก รวมถึงคนรักความเร็วจากทุกมุมโลกได้ไม่น้อย ตั้งแต่ในส่วนของภาพลักษณ์ที่มีความดุดันมากกว่าที่เราเคยเห็น ขุมพลังที่ได้รับการอัพเกรดให้มีแรงม้าสูงขึ้น รวมถึงชุดแอโร่ไดนามิคส์แพคเกจที่ถอดแบบมาจากตัวแข่ง Formula 1 ซึ่งช่วยให้ตัวรถมีเสถียรภาพการขับขี่ที่โดดเด่นที่สุดเท่าที่เคยมีมา ซึ่งหากจะกล่าวว่า การมาของ Porsche 911 GT3 RS (992) เป็นการถือกำเนิดของรถ Porsche เวอร์ชั่นถนนที่ “สุด” กว่าทุกเวอรืชั่นที่เคยมีมา ก็คงไม่ใช่คำพูดที่โอเวอรืเกินจริงแต่อย่างใด
สำหรับการเปิดตัวPorsche 911 GT3 RS (992) นั้น
มีขึ้นในงาน Monterey Car Week 2023 แน่นอนว่า การมาของ Porsche 911 GT3 เมื่อช่วงต้นปีก่อน ถือว่าเป็นหนึ่งในรถที่สมบูรณ์แบบรุ่นหนึ่งของแบรนด์ แต่สำหรับ Porsche 911 GT3 RS (992) มันมีอะไรที่เหนือกว่านั้น โดยทางค่ายได้ทำการอัพเกรดระบบกันสะเทือนที่มาในรูปแบบ Double Wishbone พร้อมกับอัพเกรดขุมพลัง Flat 6 พิกัด 4.0 ลิตร ที่แต่เดิมให้กำลังการขับเคลื่อน 510 แรงม้า และแรงบิด 470 นิวตัน-เมตร ให้ยกระดับพละกำลังขึ้นเป็น 525 แรงม้า โดยทางค่ายเลือกที่จะจับคู่กับชุดส่งกำลังในรูปแบบ Dual Clutch ซึ่งด้วยระบบแอโร่ไดนามิคส์ที่ช่วยสร้างแรงกดได้มากขึ้น ทำให้ตัวรถ Porsche 911 GT3 RS (992) ถูกดรอปความเร็วสูงสุดเอาไว้ที่ 296 กม./ชม. (จากเดิม 319 กม./ชม.) โดยสิ่งที่จะได้มาแทนที่ คือ อัตราเร่งจาก 0-96 กม./ชม. ที่สามารถทำได้ภายในระยะเวลาเพียง 3.0 วินาที ซึ่งเร็วกว่า Porsche 911 GT3 ที่จับคู่กับชุดเกียร์ PDK 7 สปีด อยู่ราว 0.2 วินาที
สิ่งที่ Porsche ระบุไว้อย่างชัดเจนก็คือ
ศักยภาพที่แท้จริงของ Porsche 911 GT3 RS (992) ไม่ได้อยู่ที่ทางตรง แต่เป็นขีดความสามารถในการสร้างความเร็วในโค้ง ซึ่งไฮไลท์ที่สำคัญ คงหนีไม่พ้นการอัพเกรดแพ็คเกจแอโร่ไดนามิคส์เกือบจะทั้งหมด เริ่มต้นตั้งแต่ในส่วนของฝากระโปรงหน้า ที่มีการเจาะช่องระบายลมรูปตัว L ซึ่งรับอากาศมาจากช่องรับลมบริเวณกันชนหน้า เช่นเดียวกับครีบระบายลมที่ซุ้มล้อหน้า ซึ่งช่วยลดการหมุนวนของลมในซุ้มล้อ รวมถึงช่วยลดความร้อนให้กับชุดเบรกได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น พร้อมด้วยการติดตั้งปีกเล็กๆ บริเวณหน้าและหลังล้อ ซึ่งเป็นแบบเดียวกับที่เคยใช้ใน Porsche Cayman GT4 RS
หางหลังแบบเปิด – ปิดได้ ไฮไลท์ใน GT3 RS (992)
ในส่วนชายล่างตัวถังมาพร้อมชุดสปอยเลอร์ที่ช่วยจัดทิศทางลมให้ไหลสู่ด้านท้ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยจะทำงานร่วมกับแผ่นปิดบริเวณใต้ท้อง ส่วนด้านบนหลังคา ถูกแปะไว้ด้วยครีบลักษณะคล้าย Vortex Generator เพิ่มระเบียบการไหลของลมด้านบนหลังคา ให้วิ่งเข้าสู่หางหลังได้อย่างสมูท โดยชุดหางหลังแบบ Swan Neck นี่เอง ที่ถือเป็นอีกหนึ่งไฮไลท์ของ Porsche 911 GT3 RS (992) ด้วยดีไซน์การออกแบบเป็น 2 ชั้น แยกชิ้นกัน โดยสปอยเลอร์ 2 ชิ้นนี้ สามารถเปิด – ปิด ด้วยระบบการควบคุมจากอิเล้คทรอนิคส์ เพื่อปรับระดับแรงกดให้มากหรือน้อย แบบเดียวกับระบบ DRS (Drag Reduce System) แบบเดียวกับที่ใช้ในรถแข่ง Formula 1 ซึ่งในเวลาที่ต้องการความเร็วสูงสุด ผู้ขับขี่สามารถเปิดช่องสปอยเลอร์พื่อให้อากาศสามารถไหลผ่านได้อย่างอิสระ แต่ในขณะที่เข้าโค้ง ซึ่งต้องการแรงกดสูง Porsche 911 GT3 RS (992) ก็สามารถปิดช่องครีบดังกลา่าว เพื่อให้สปอยเลอร์ท้าย ทำหน้าที่ในการสร้างดาวน์ฟอร์สได้อย่างเต็มที่ โดยระบบนี้สามารถสั่งการเพื่อสร้างแรงกดได้ตามที่ต้องการผ่านปุ่มบนพวงมาลัย
นอกจากชุดสปอยเลอร์ท้ายที่ให้ประสิทธิภาพได้อย่างโดดเด่นแล้ว Porsche 911 GT3 RS (992) ยังมาพร้อมชุดดิฟฟิวเซอร์ท้าย ที่ได้รับการพัฒนาใหม่ให้มีขีดความสามารถที่สูงในระดับตัวแข่ง โดยวางขนาบข้างชุดท่อไอเสียปลายคู่ได้อย่างลงตัว ซึ่งด้วยการดีไซน์แอโร่ไดนามิคส์ทั้งหมดทั้งมวล ทางทมีมวิศวกรจาก Porsche ให้ข้อมูลว่า Porsche 911 GT3 RS (992) สามารถสร้างแรงกดได้มากถึง 409 กก. ที่ความเร็ว 200 กม./ชม. ซึ่งมากกว่า Porsche 911 GT3 RS โฉมก่อนถึง 2 เท่า และมากกว่า Porsche 911 GT3 (992) ซึ่งเป็นโฉมปัจจุบันอยู่ถึง 3 เท่า !!! แต่สิ่งที่น่าสนใจกว่านั้น คือ การสร้างแรงกดที่จะเพิ่มขึ้นเป็น 860 กก. ที่ความเร็ว 285 กม./ชม.
พวงมาลัยพร้อมปรุ่มปรับฟังค์ชั่นการขับขี่ เพื่อการตอบสนองที่เฉียบคมในทุกสภาวะ
นอกจากระบบแอโร่ไดนามิคส์ที่สุดยอดแล้ว Porsche 911 GT3 RS (992) ยังมาพร้อมเครื่องเคียงที่ช่วยลดน้ำหนักตัวรถได้อย่างน่าสนใจ เช่น การใช้บานประตูที่ทำจากคาร์บอนไฟเบอร์ เช่นเดียวกับชุดเบาะคู่หน้าในรูปแบบ Bucket Seat พร้อมโรลเคจในแพคเกจ Club Sport ที่ติดตั้งมาเป็นอุปกรณ์มาตรฐานใน Porsche 911 GT3 RS (992) สำหรับชุดคันเกียร์ของ 911 GT3 RS มาในดีไซน์เดียวกับรุ่น 911 GT3 ซึ่งจะแตกต่างกับของ 911 ทั่วไป ที่เปลี่ยนมาใช้คันเกียร์ Joy Stick ขนาดเล็ก โดยสิ่งที่ 911 GT3 RS มีมากกว่า 911 GT3 รุ่นปกติ คือ ปุ่มปรับโหมดการขับขี่บนพวงมาลัย ซึ่งสามารถสั่งการและปรับค่าในระบบต่างๆ ระหว่างขับขี่ ไม่ว่าจะเป็น ระบบกันสะเทือน รวมถึงระดับการทำงานของชุดเฟืองท้าย
ชุดล้อสำหรับแบบ Center Lock ของ Porsche 911 GT3 RS (992)
ในคู่หน้ามาในขนาด 20 นิ้ว จับคู่กับล้อหลังไซส์ 21 นิ้ว รัดด้วยยาง Michelin Pilot Sport Cup ที่มีความกว้างมากกว่าของ 911 GT3 โดยใช้ยางคู่หย้าขนาด 275 มม. (จากเดิม 255 มม.) และยางหลังขนาด 335 มม. (จากเดิม 315 มม.) เช่นเดียวกับชุดเบรกที่ออกแบบให้มีขนาดที่ใหญ่ขึ้น โดยมีออพชั่นชุดจานเบรก PCCB Carbon Ceramic มาเป็นออพชั่น แม้ว่าอุปกรณ์และแอโร่ไดนามิคส์จะถูกใส่เพิ่มเข้ามาใน Porsche 911 GT3 RS (992) แต่สปอร์ตผู้นี้ กลับมีน้ำหนักที่เบาลง 20 กก. เมื่อเทียบกับ Porsche 911 GT3 RS (991.2) และเบาลง 15 กก. เมื่อเทียบกับ Porsche 911 GT3 รุ่นปัจจุบัน โดย Porsche 911 GT3 RS (992) มีน้ำหนักเพียง 1,450 กก. เท่านั้น
ทางตรง…ไม่เป็นไร แต่ในโค้ง…ต้องสุด !
ไม่มีเหตุผลที่จะตั้งคำถามเลาว่า เพราะอะไร Porsche 911 GT3 RS (992) ถึงได้ชื่อว่าเป็นรถแข่งเวอร์ชั่นถนนที่ดีที่สุดเท่าที่ Porsche เคยทำมา แต่หากคุณยังรู้สึกว่า “ไม่พอมือ” ทางค่ายยังมีออพชั่นเสริมในรูปแบบ Weissach Package ที่ช่วยลดน้ำหนักให้เบาลงมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ อันประกอบไปด้วย ฝากระโปรงหน้าและแผ่นหลังคาที่ทำจากคาร์บอนไฟเบอร์ เปลี่ยนโรลเคจและองประกอบบางส่วนในระบบช่วงล่าง จากเดิมที่ทำจากโลหะ ให้กลายมาเป็นคาร์บอนไฟเบอร์ พร้อมกับชุดล้อที่ทำจากแม็กนีเซียม ซึ่งช่วยลดน้ำหนักลงได้อีก 8 กก. นอกจากนี้ยังมาพร้อมชุดควบคุมการเปลี่ยนเกียร์แบบ Magnet Technology ที่ช่วยให้การเปลี่ยนเกียร์ทำได้อย่างกระชับ แม่นยำมากขึ้นอีกด้วย
Porsche 911 GT3 RS (992)
พร้อมให้จับจองเป็นที่เรียบร้อย โดยถูกตั้งราคาเริ่มต้นไว้ที่ €229,517 หรือประมาณ 8.22 ล้านบาท ในประเทศเยอรมนี (มาถึงบ้านเราคาดว่าอยู่ราว 25 ล้านบาท) ซึ่งคาดว่าจะเริ่มส่งมอบได้ในช่วงต้นปีหน้า
