Home » Test Drive…BYD Seal กรุงเทพฯ – เขาใหญ่ ไปเกือบไม่ได้ แถมกลับไม่ถึง !!! น้องแมวน้ำคงโอด “พาฉันมาเชือด…เพื่อ ?”

Test Drive…BYD Seal กรุงเทพฯ – เขาใหญ่ ไปเกือบไม่ได้ แถมกลับไม่ถึง !!! น้องแมวน้ำคงโอด “พาฉันมาเชือด…เพื่อ ?”

by Admin clubza.tv

ก่อนจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการเพียงไม่กี่อึดใจ ทาง Rever Automotive ได้จัดกิจกรรมให้สื่อมวลชนได้ร่วมสัมผัสสมรรถนะของพรีเมี่ยมซีดาน BYD Seal รถยนต์พลังงานไฟฟ้ารุ่นที่ 3 ของค่ายที่ถูกส่งเข้ามาทำตลาดในประเทศไทย โดยเส้นทางกรุงเทพฯ – เขาใหญ่ ที่ใช้ในการทดสอบ เป็นเส้นทางที่เชื่อว่าหลายๆ ท่านมีความคุ้นเคย แต่เพิ่อเพิ่มรายละเอียดและความน่าตื่นเต้น (ปนเสียว) ในการเดินทางเล็กน้อย ทางค่าย BYD ได้วางกิมมิคด้วยระยะการเดินทางตลอดทริปเฉียด 400 กม. (ระยะทางจริง 395 กม.) เพื่อสื่อถึงความเป็นรถ EV ที่พร้อมรองรับการเดินทางได้ไกลแบบไม่ต้องแวะชาร์จ

บทความเเนะนำ

เจาะรายละเอียด BYD SEAL กับ 3 รุ่นย่อย พร้อมเปิดราคา คันไหนคุ้ม รุ่นไหนเหมาะกับใคร ?

BYD Seal 3 รุ่นย่อย 3 ระดับพละกำลัง ในตลาดประเทสไทย

3 รุ่นย่อยในไทย ครบไลน์อัพทั้ง ขับหลัง และ ขับสี่

การเดินทางในครั้งนี้ เรียกได้ว่ามี BYD Seal มาให้สื่อมวลชนได้ควบกันอย่างจุใจถึง 30 คัน ในทั้ง 3 รุ่นย่อย ซึ่งแต่ละสื่อจะได้ทดลองขับแบบครบๆ ทั้ง 3 รุ่น ไม่ว่าจะเป็น Dynamic, Premium รวมถึงรุ่นที่เรียกเสียฮือฮาได้มากที่สุด พร้อมได้รับการคาดหมายว่านี่คือ Model 3 Killer อย่าง BYD Seal ในรุ่นย่อย AWD Performance ที่มาพร้อมจุดเด่นด้วยระบบขับเคลื่อนแบบ All Wheel Drive และสามารถทำอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ได้ภายใน 3.8 วินาที ซึ่งนี่…ถือเป็นตัวเลขที่ยืสื่อถึงมุมมองความเป็นซีดานสมรรถนะสูง แต่หากในความเป็นจริงแล้ว BYD Seal AWD Performance จะใกล้เคียงนิยามความเป็นรถสมรรถนะสูงมากน้อยขนาดไหน ติดตามได้ในย่อหน้าถัดไป !

BYD Seal AWD Performance ตัวแทนหมู่บ้านหนึ่งเดียวที่มาพร้อมระบบขับเคลื่อน All Wheel Drive

แรงก่อนได้เปรียบ…เพราะสตาร์ทด้วยแบต 100%

ในวันที่ #ทีมขับซ่า เหมือนจะเป็นวันที่มือ (และดวง) ดูดีเลยทีเดียว เพราะทันทีที่เริ่มจับฉลากเพื่อเลือกรถ Mr. Pajingo จับได้รุ่น BYD Seal AWD Performance เป็นคันแรก นั่นหมายความว่า เป็นโอกาสของเราที่จะได้สัมผัสความแรงในระดับ 3.8 วินาที แบบไฟเต็ม 100% และไม่มีข้อจำกัดใดๆ มาเกี่ยวข้อง ซึ่งกว่าจะหาสถานที่ปิด ที่พร้อมรองรับความเร็วในระดับนี้ได้ เล่นเอาเราเหงื่อตก ต้องออกไปถึงชานเมืองเลยทีเดียว ความเร็วที่ใช้ขณะเดินทาง เราไปกันแบบเนิบๆ ซึ่งตัวรถให้การตอบสนองที่ดีตามระดับของพละกำลังกว่า 500 แรงม้า จากชุดขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์คู่ เรียกว่าเหลือๆ จนไม่รู้จะหาคำไหนมาสรรเสริญ สำหรับความเป็นรถที่เน้นใช้งานในรูปแบบ Street Used การขับขี่ที่ความเร็วปกติ โครงสร้าง e – Platform 3.0 แบบ Cell to Body ที่รวมเอาแพค Blade Battery เป็นส่วนหนึ่งส่วนเดียวกับพื้นรถ (แทนที่แบตเตอรี่แพคที่ถูกซุกเข้าไปในพื้นรถเหมือนเจนเนอเรชั่นก่อน) รวมถึงชุดช่วงล่าง Semi Active ในชื่อ Frequency Selective Damping ที่ปรับการตอบสนองตามสภาพพื้นผิวจราจร ถือว่าเก็บอาการของตัวรถและให้การตอบสนองที่ค่อนข้างน่าประทับใจ ควบคุมได้อย่างแม่นยำ โดยยังคงความนุ่มนวล และสัมผัสในการโดยสารที่สะดวกสบายตามสไตล์ของตัวรถ ซึ่งส่วนหนึ่งก็คงต้องยกเครดิตให้กับประสิทธิภาพการกระจายกำลังในการขับเคลื่อน ที่เฉลี่ยแรงแต่ละล้ออย่างเหมาะสม แต่หากต้องเข้าใจว่า ในท้ายที่สุดแล้ว BYD Seal AWD Performance ยังคงเป็นแค่ EV Sedan พลังแรง หาใช้รถที่เรียกตัวเองว่า Hi Performance ไม่ !

อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. กดเต็มๆ ได้ 3.85 วินาที และทำเวลาควอเตอร์ไมล์ได้ในระดับ 12.x วิ.

ตัวเลข 3.8 วิ. มีให้เห็นจริงๆ แต่กดต่อเนื่อง…มีเหี่ยวเช่นกัน

สิ่งหนึ่งที่เรายังคงชื่นชมในความเป็น BYD ซึ่งเคลมตัวเลขได้อย่างมีมาตรฐาน คือ เรื่องของอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ที่ใกล้เคียงกับสเป็ค โดยทาง #ทีมขับซ่า ทดสอบด้วยเครื่องมือ VBox Sport ออกมาที่ 3.85 วินาที (ล้อมีอาการสลิปเบาๆ ในขณะกระแทกคันเร่งออกตัว แต่หากลองกดต่อเนื่องหลาย Run ติดๆ ความเร็วมีดรอปตามความร้อนที่เกิดขึ้นกับชุดมอเตอร์ขับเคลื่อน) ด้วยพื้นที่ที่เป็นใจ Mr. Pajingo พยายามขยี้คันเร่งของ เพื่อหาขีดจำกัดที่ทำได้ ก่อนจะพบว่า ในช่วงความเร็วสูงๆ ขึ้นไปจนใกล้จุดสุดยอดของรถ หน้ารถเริ่มมีอาการฉกซ้าย -ขวา ซึ่งต้องใช้ทักษะการควบคุมในระดับสูง สาเหตุหนึ่งเชื่อว่าเป็นเพราะ…ด้วยความที่ BYD Seal เป็นรถที่ออกแบบมาให้มีค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานที่ต่ำ Cd = 0.219 (เพื่อเน้นความลู่ลม ประหยัดพลังงานที่ใช้ในการขับเคลื่อน) นั่นอาจจะต้องแลกมาด้วยประสิทธิภาพในการสร้างแรงกดที่ความเร็วสูงที่ต่ำลงไปด้วย ส่วนอีกหนึ่งสาเหตุ แน่นอนว่าคงหนีไม่พ้น การเซ็ตช่วงล่างในสไตล์พรีเมี่ยมซีดาน เน้นความสะดวกสบายเป็นหลัก เหนือคำว่าสมรรถนะในระดับสูงสุด นั่นจึงไม่ใช่เรื่องแปลก หากการขับขี่ที่ความเร็วสูงมากๆ อาจทำให้ผู้ขับขี่รู้สึกขาดความมั่นใจไปบ้าง ซึ่งอาการเหล่านี้ เป็นหมือนคาแร็กเตอร์เฉพาะตัวของรถในตระกูล BYD Seal ที่เจอในทุกรุ่นย่อย

วัสดุในห้องโดยสาร ให้ความรู้สึกพรีเมี่ยม หลังคาแก้วที่เห็นเปิดโล่งแบบนั้น แทบไม่รู้สึกว่าร้อนเกินปกติ

เบาะนั่งทั้งหน้าและหลัง โอบกระชับ รับกับสรีระอย่างพอเหมาะ เกือบ 400 กม. สอบผ่านสบาย

Dynaudio เสียงอิ่ม หนา สายฟังที่เน้นเสียงเนื้อเยอะๆ น่าจะถูกใจ

ชอบอะไร – ขัดใจตรงไหน ?

แต่ในท้ายที่สุด (แต่ยังไม่สุดท้าย)…BYD Seal ยังมีรายละเอียดอื่นๆ ที่ทำให้ #ทีมขับซ่า เกิดความประทับใจอีกไม่น้อย ทั้งในเรื่องประสิทธิภาพการเก็บเสียง, ความหนักแน่นในน้ำเสียงของชุดเครื่องเสียงจาก Dynaudio (แล้วแต่รสนิยมทางหูของแต่ละบุคคล), เบาะนั่งที่ให้ความรู้สึกโอบประชับ และออกแบบตำแหน่งพนักพิงศีรษะได้อย่างลงตัง, ความสามารถในการสะท้อนความร้อนของแผ่นหลังคา แม้ว่าจะให้มุมมองในแบบหลังคาพาโนรามิกเคลือบซิลเวอร์เพลทแบบเต็มบานไร้ม่านปิด แต่เรากลับไม่รู้สึกถึงความร้อนจากแสงแดดที่ผ่านเข้ามา แม้ต้องขับขี่ในเวลากลางวันแสกๆ และที่ขาดไม่ได้ คือ เรื่องความปลอดภัยภายใต้เทคโนโลยีการออกแบบ e – Platform 3.0 แบบ Cell to Body ซึ่งช่วยให้ตัวรถมีความแข็งแรงสูง เมื่อเกิดการกระแทกจากในด้านหน้า และด้านข้าง ส่งผลต่อเรื่องความปลอดภัยของห้องโดยสาร รวมถึงชุดแพคแบตเตอรี่โดยตรง และสิ่งที่ขาดไม่ได้ คือ เมื่อแพคแบตเตอรี่เป็นส่วนหนึ่งส่วนเดียวกับพื้นรถแล้ว ส่งผลให้ความหนาของพื้นลดลงอีก 5 มม. จึงทำให้มีพื้นที่ในการวางเท้าได้อย่างสะดวกสบายมากขึ้น ในทางกลับกัน ก็มีบางลูกเล่นที่เราก็เข้าใจแหละ ว่าทางค่ายต้องการโชว์แนวคิดการออกแบบสุดล้ำ เช่น ช่องแอร์ที่ออกแบบให้สามารถปรับทิศทางลมด้วยกลไกภายใน แต่ในความเป็นจริงแล้ว การปรับทิศทางลมแบบอัตโนมือ อาจเป็นลูกเล่นง่ายๆ ที่ถูกจริตของคนไทยที่อาศัยในเมืองร้อนมาช้านานเสียมากกว่า

400 กม. กับรถไฟฟ้าที่ขับแล้วรู้สึกมีอารมณ์ร่วมขนาดนี้…จะรอดจริงหรือ ?

วางเส้นทางแบบนี้…พี่เอาน้องแมวน้ำมาเชือดออกสื่อชัดๆ !!!

#ทีมขับซ่า เดินทางด้วย BYD Seal AWD Performance มาประมาณ 100 กม. เศษๆ ก็ถึงเวลาสลับผู้ขับ มาคราวนี้เป็นโอกาสให้เราได้ลองรุ่นย่อย Premium กันบ้าง จุดแตกต่างที่ชัดเจนจากรุ่น AWD Performance ก็คือ ระบบขับเคลื่อนที่มีมอเตอร์เพียงแค่ล้อคู่หลัง ให้กำลังสูงสุดราว 315 แรงม้า จับคู่แพค Blade Battery ขนาดเดียวกันที่ 82.5 kWh แต่นั่นเองก็ทำให้ระยะการขับเคลื่อนกระโดดขึ้นมาอยู่ในระดับ 650 กม. ต่อชาร์จ (สำหรับรุ่น AWD Performance เคลมไว้ที่ 580 กม.) เมื่อวัดด้วยมาตรฐาน NEDC ซึ่ง ณ ปัจจุบัน แทบไม่มีความน่าเชื่อถือหลงเหลืออยู่แล้ว แต่อย่างไรก็ตาม BYD Seal Premium ดูจะเป็นรุ่นที่มีอนาคตมากที่สุด หากจะคาดหวังการเดินทางไป – กลับ ในระยะทางแตะๆ 400 กม. แบบไม่ต้องแวะชาร์จ (ในสภาพการเดินทางจริง และกดคันเร่งโหดๆ ในบางครั้ง) โดยหลังจากที่ถึงจุดหมายที่สนาม 8 Speed เขาใหญ่ ระยะทางโชว์บนหน้าปัดประมาณ 230 กม. ไฟในแบตเตอรี่เหลืออยู่ +- 50% ซึ่งแน่นอนว่า ผ่านฉลุยแบบไม่ต้องลุ้น หากขับอย่างมีเป้าหมายว่าต้องการถึงจุดนัดพบอย่างปลอดภัย แต่สำหรับรุ่นอื่นนั้น…???

Premium กลายเป็นรุ่นย่อยเดียว ที่จบทริปนี้ได้แบบไม่ต้องแวะชาร์จ

แค่ไปยังเกือบไม่ถึง แล้วกลับ…จะเหลืออะไร ?

ปัญหาที่เกิดขึ้น อันนำมาสู่ประโยคเปิดหัว “ไปเกือบไม่ได้ แถมกลับไม่ถึง !!!” ก็คือ สำหรับสื่อมวลชนที่ต้องขับ BYD Seal รุ่น AWD Performance และรุ่น Dynamic (แบตเตอรี่ของ Dynamic มีขนาดเล็กกว่าที่ 61.4 kWh เคลมระยะทาง 510 กม. สเป็คมอเตอร์เดียวกับ BYD Atto 3 และ Dolphin Extended Range) คือ แทบไม่มีความเป็นไปได้ !!! โดยเฉพาะสำหรับรุ่น AWD Performance ที่บางคันจุ่มคันเร่งกันมาเต็มตีนจนแบตเตอรี่เหลืออยู่เพียงหลัก 10% นิดๆ (กล่าวโทษกันคงยาก เพราะยิ่งกด ก็ยิ่งสนุกนี่นะ) เรื่องราวหรรษาในการรอชาร์จรถเกือบๆ 20 คัน ด้วยเครื่องชาร์จ DC เพียง 1 หัว ในปรำพิธีจึงอุบัติขึ้น ถือเป็นการบ้านข้อใหญ่ที่ทาง Rever Automotive และทีมออแกไนซ์ที่ลงทุนจ้างมา ต้องนำไปเป็นกรณีศึกษา หากจะจัดกิจกรรมทดสอบรถยนต์พลังงานไฟฟ้าในโอกาสต่อไป

ไปครับ ! #ทีมขับซ่า รับจบ !!!

ไปต่อสิ…รอแบบนี้ อนาคตแทบไม่มีให้เห็น !

ทางเลือกของ #ทีมขับซ่า ที่ต้องขับรุ่น Dynamic ซึ่งมีความสุ่มเสี่ยง คือ การอดทนรอ หรือไปต่อแล้วช่วยตัวเองเอาดาบหน้า ด้วยปริมาณแบตเตอรี่ที่เหลือเพียง 32% (แต่ก็ไม่ต้องการรอชาร์จอย่างไร้ความหวัง ณ จุดนั้น) กับระยะทางอีก 170 กม. ที่ต้องเผื่อปริมาณไฟสำหรับวัดอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. มาเทียบกันให้เห็นความแตกต่างทั้ง 3 รุ่นด้วย แต่เพื่อเป็นการไม่ประมาท งานนี้ #ทีมขับซ่า จึงต้องชิงออกตัวและฝากอนาคตไว้กับชุดชาร์จที่อยู่ในละแวกนั้นแทน ซี่งมันก็ได้ผล ใช้เวลาชาร์จอยู่ไม่ถึง 20 นาที พอจิบกาแฟได้ 1 แก้ว ปริมาณไฟขยับจากตอนเริ่มชาร์จ 29% มาเป็น 55% (ตัวรถ BYD Seal รุ่น Dynamic รองรับ Quick Charge สูงสุด 110 kW ส่วนอีก 2 รุ่นย่อย ที่ใช้แบตเตอรี่ 82.5 kWh รองรับที่ 150 kW สามารถชาร์จจาก 10-80% ในเวลาประมาณ 32 นาที และรองรับการชาร์จแบบปกติ 11 kW) เสร็จกิจเรียบร้อยก็ออกเดินทางด้วยความเร็วตามกฎหมายกำหนด พร้อมทดสอบอัตราเร่งตามมาตรฐานของ #ทีมขับซ่า ก่อนจะมาปิดจ๊อบที่จุดนัดพบ ด้วยปริมาณไฟที่เหลือกลับมาถึง  18% (ถ้าไม่ชาร์จเลย…ก็กลับมาถึง แต่ตัวเลขอัตราเร่ง จะขาดความแม่นยำ เพราะเมื่อปริมาณไฟต่ำ มอเตอร์จะถูกดรอปกำลังลงอย่างชัดเจน)

ว่าด้วยเรื่องความแรง Premium นั้นเหนือกว่า แต่หากวัดความคม และฟีลลิ่งที่เป็นมิตร Dynamic ยังคงเหนือกว่ามาก

ขับหลังเหมือนกัน แต่ทำไม…ฟีลลิ่งต่างกันได้ขนาดนั้น ?

หลังจากที่ได้ลองขับ BYD Seal รุ่นขับคลื่อนล้อหลังทั้ง Premium และ Dynamic แม้จะเป็นรุ่นที่ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์เดี่ยวที่ล้อคู่หลังเช่นเดียวกัน แต่ทั้งคู่กลับให้ความรู้สึกที่การขับขี่ที่แตกต่างกันอย่างสัมผัสได้ โดยในรุ่น Premium แม้จะให้กำลังสูง และดูจะมีทีเด็ดทีขาดในการเร่งแซงมากกว่า แต่หากการขับขี่ที่ต้องเจอเส้นทางที่มีโค้งแคบ ต้องเข้าโค้งด้วยความเร็ว หรือโยกเปลี่ยนเลยกะทันหัน กลับรู้สึกได้ถึงอาการ “แถม” คือ มีเรื่องโมเมนตัมจากน้ำหนักตัวรถเข้ามาเกี่ยวข้อง ทำให้ต้องออกแรงในการควบคุมพวงมาลัยให้มั่นคงมากกว่า แตกต่างจากรุ่น Dynamic ที่แบตเตอรี่มีขนาดเล็กกว่า ส่งผลให้ตัวรถมีน้ำหนักเบากว่า 133 กก. การควบคุมในพื้นที่แคบ หรือต้องการความแม่นยำ จึงทำได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงกว่าตามไปด้วย ในขณะเดียวกัน ระดับพละกำลัง 201 แรงม้า กับแรงบิด 310 นิวตัน-เมตร แม้ว่าจะเป็นรองรุ่นพี่อีก 2 รุ่น อย่างชัดเจน แต่ในแง่การใช้งานทั่วๆ ไป หรือแอบซ่าบ้างในบางโอกาส ถือว่าทำได้แบบพอหอมปากหอมคอและเหมาะสมในแง่การใช้งานแล้ว หากจะให้ฟันธงโดยไม่มองค่าตัวระหว่างทั้ง 2 รุ่น โดยส่วนตัว Mr. Pajingo ชอบฟีลลิ่งของรุ่น Dynamic ที่มีความกระชับมากกว่าความพละกำลังของรุ่น Premium แต่หากว่า คุณเป็นคนที่ต้องการความยืดหยุ่นในการใช้งาน การเดินทางได้ไกลกว่า 400 กม. แบบทำได้จริงของ BYD Seal Premium ยังคงชนะเลิศและเหนือกว่า Seal ทุกรุ่นที่ทำตลาดในยุคนี้

แล้วหวยก็ไปลงที่…?

ถูกใจคันไหน ?

หากจะต้องฟันธงเพื่อเลือก BYD Seal สัก 1 ใน 3 คันนี้ โดยไม่ต้องมานั่งปวดหัวกับการคำนวนราคาค่างวด ไอ้เราที่มีความเป็นสายซิ่งอยู่ในสายเลือด คงจิ้มไปที่ BYD Seal AWD Performance แบบไม่ต้องคิดเยอะ เผื่อวันดีคืนดีมีน้อง All New นึกสนุก อยากจะมาลองของ (แต่เราคงไม่สนองกลับล่ะมั้ง) แต่ปัญหามันจะมาอยู่ที่ หาก Rever Automotive เปิดราคามาแบบสมเหตุสมผลทั้ง 3 รุ่นย่อย ไอ้เราก็คงรู้สึกว้าวุ่นไม่น้อย แต่ว่าก็ว่าเถอะ ในฐานะที่ขับมาแล้วทั้ง 3 คันนะ…ติดใจ “ตัวเริ่ม” ของเขาสุดๆ ล่ะ ดูทรงคือ “โคตรคุ้ม” ตามคอนเซ็ปท์ที่เคยมีมา


ข่าวแนะนำ

เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้ เพื่อสร้างประสบการณ์นำเสนอคอนเทนต์ที่ดีให้กับท่าน รวมถึงเพื่อจัดการข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์ที่ดีบนบริการของเว็บไซต์เรา หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไปโดยไม่มีการปรับตั้งค่าใดๆ นั่นเป็นการแสดงว่าท่านอนุญาตยินยอมที่จะรับคุกกี้บนเว็บไซต์และนโยบายสิทธิส่วนบุคคลของเรา ยอมรับ เรียนรู้เพิ่มเติม

Privacy & Cookies Policy