ค่ายดาวสามแฉกเผยโฉมยนตรกรรมพลังงานไฟฟ้าสำหรับสายลุยขนาดคอมแพค หลังจากที่เมื่อปีก่อนได้เปิดตัวรุ่นพี่อย่าง Mercedes-EQS SUV มาปีนี้ มีการเพิ่มทางเลือกด้วย ที่มามาในไซส์ที่กะทัดรัด และให้ความคล่องตัวมากกว่าอย่าง Mercedes-EQE SUV นอกจากนี้ยังมาพร้อมความหลากหลายให้เลือกใช้งาน ทั้งในรูปแบบขับเคลื่อนสองล้อ และขับเคลื่อนสี่ล้อ รองรับระยะการเดินทางสูงสุดได้ถึง 590 กม. ต่อชาร์จ
ชื่อของ Mercedes-EQE SUV อาจสร้างความสับสนให้กับผู้ใช้อยู่เล็กน้อย แม้ว่าตัวรถจะพัฒนาบนพื้นฐานแพลตฟอร์ม EVA II ด้วยลักษณะการวางขนาดที่มีความแตกต่างจาก EQE ในรูปแบบซีดาน โดย Mercedes-Benz EQE SUV มีระยะฐานล้อ 3,030 มม. ซึ่งสั้นกว่าถึง 90 มม. และมีขนาดมิติตัวรถโดยรวมอยู่ที่ กว้าง x ยาว x สูง คือ 1,940 x 4,863 x 1,686 มม. เมื่อเทียบกับ EQE รุ่นซีดานแล้ว Mercedes-EQE SUV สั้นกว่า 132 มม. และแคบกว่า 11 มม. ซึ่งทางค่าย Mercedes ให้เหตุผลที่ว่า การปรับขนาดให้เล็กลง ส่งผลโดยตรงต่อความคล่องตัวของ Mercedes-EQE SUV ที่มีน้ำหนักเพียง 2,600 กก. แม้ว่าผู้คนส่วนใหญ่จะรู้สึกคาดหวังกับพื้นที่ใช้สอยภายในห้องโดยสาร เมื่อต้องการใช้งานรถในรูปแบบ SUV ก็ตาม
Mercedes-EQE SUV มาพร้อมพื้นที่เก็บสัมภาระขนาด 520 ลิตร พร้อมยกระดับเบาะนั่งให้สูงขึ้น โดยมีความใกล้เคียงกับห้องโดยสารของ EQC แตกหากนำไปเทียบกับ Mercedes-Benz GLE ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปแล้ว ถือว่าพื้นที่ใช้สอยภายในห้องโดยสารน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด (พื้นที่เก็บสัมภาระ GLE อยู่ที่ 630 ลิตร) และหากเทียบกับพื้นที่สัมภาระเมื่อพับเบาะ จะมีความต่างที่มากถึง 380 ลิตร (EQE อยู่ที่ 1,675 ลิตร และ GLE อยู่ที่ 2,055 ลิตร) แต่อย่างไรแล้ว พื้นที่สัมภาระของ Mercedes-EQE SUV ก็ยังมากกว่ารุ่นซีดานที่มีอยู่เพียง 430 ลิตร
สิ่งหนึ่งที่เป็นปัจจัยสร้างแรงดึงดูดให้กับ Mercedes-EQE SUV คงหนีไม่พ้นการออกแบบภายในห้องโดยสาร ที่มาพร้อมชุดหน้าจอ HyperScreen ที่ทำงานร่วมกับชุดเครื่องเสียงระดับพรีเมี่ยม รองรับการถอดรหัสสัญญาณเสียง Dolby Atmos พร้อมด้วยกรองอากาศภายในห้องโดยสาร HEPA นอกจากนี้ยังมาพร้อมฟังค์ชั่นการอัพเดทชอฟท์แวร์ Over The Air ที่ช่วยเติมความสดใหม่ให้กับระบบการทำงานภายใน Mercedes-EQE SUV ซึ่งรวมไปถึงระบบช่วยจอดอัตโนมัติ Intelligent Park Pilot รวมถึงเทคโนโลยีการนำทางที่เมื่อกำหนดจุดหมาย สามารถคำนวนจุดชาร์จระหว่างทาง เพิ่มความสะดวกให้กับผู้ใช้งานได้มากยิ่งขึ้น เช่นเดียวกับการทำงานของระบบ Eco Assist ที่ช่วยปรับระดับแรงหน่วงจากการชาร์จพลังงานกลับโดยอัตโนมัติตามสภาพการจราจร ซึ่งช่วยให้ผู้ขับขี่ควบคุมความเร็วได้อย่างแม่นยำจากการใช้คันเร่งเพียงแป้นเดียว ในรูปแบบที่เรียกว่า One Pedal
Mercedes-EQE SUV มาพร้อมระบบไฟส่องสว่างที่เรียกว่า Digital Light ที่มาพร้อมระบบตรวจจับวัตถุ สิ่งกีดขวาง รวมถึงอ่านป้ายจราจรเพื่อการประมวลผลอย่างแม่นยำ ในส่วนของภายในห้องโดยสารนั้น เช่นเดียวกับรถ EQ รุ่นอื่นๆ คือ ทางค่ายเน้นการใส่เสียงที่เป็นธรรมชาติเพือสร้างความผ่อนคลายให้กับผู้ขับขี่ (สามารถดาวน์โหลดเสียง Roaring Pulse เพิ่มเติมได้…หากยังไม่ถูกใจ)
ในส่วนของการขับเคลื่อน ด้วยความที่ Mercedes-EQE SUV มาพร้อมทางเลือกที่หลากหลายถึง 5 รูปแบบ ทำให้การจัดการระบบต่างๆ ทำได้ง่ายและตอบโจทย์ผู้ใช้งานมากที่สุด นอกจากนี้ยังสามารถปรับรูปแบบการทำงานได้อย่างสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น เช่น หากต้องการเพิ่มระยะการเดินทางของ Mercedes-EQE SUV ที่มาพร้อมระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ 4Matic ผู้ขับขี่สามารถปลดล็อคเพื่อให้ตัวรถขับเคลื่อนเฉพาะล้อคู่หลังได้อย่างสมบูรณ์ นอกจากนี้ตัวรถยังมาพร้อมระบบช่วยเลี้ยวด้วยล้อหลังซึ่งให้ความคล่องตัวในการขับขี่ที่เหนือกว่า ยิ่งเมื่อรวมกับการออกแบบชุดช่วงล่างแบบ 4 Links ในด้านหน้า และ Multi Links ที่ด้านหลัง ยิ่งช่วยทำให้ Mercedes-EQE SUV เป็นรถที่มีความคล่องตัวสูงมากยิ่งขึ้น
อย่างที่เกริ่นไปว่า Mercedes-EQE SUV มาพร้อมความหลากหลายถึง 5 รุ่นย่อย โดยประกอบไปด้วย EQE 350+ (ขับเคลื่อนล้อหลัง), EQE 350 4Matic รวมถึงรุ่นใหญ่อย่าง EQE 500 4Matic ส่วนหากต้องการความเร้าใจที่มากกว่านั้น ยังคงมี EQE SUV ในตระกูล AMG มาให้เลือก ทั้ง EQE 43 และ EQE 53 ซึ่งในทุกรุ่นย่อยนั้น จะมาพร้อมแพคแบตเตอรี่ขนาด 90.6 kWh (เท่ากับรุ่นซีดาน) โดยระยะการเดินทางสำหรับรุ่น EQE 350+ ซึ่งเป็นรุ่นที่วิ่งได้ไกลที่สุดจะอยู่ที่ 480-590 กม. ต่อชาร์จ (WLTP) โดยตัวรถมาพร้อมมอเตอร์เดี่ยว ให้กำลังขับเคลื่อนอยู่ที่ 288 แรงม้า พร้อมด้วยแรงบิด 565 นิวตัน-เมตร ส่วนในรุ่น EQE 350 4Matic พละกำลังยังคงเท่าเดิม แต่สิ่งที่เพิ่มขึ้นมาจากการใช้มอเตอร์คู่ก็คือ แรงบิดที่ขยับเป็น 765 นิวตัน-เมตร ซึ่งอาจต้องแลกมาด้วยระยะการเดินทางที่ลดลงเหลือ 459–558 กม. ต่อชาร์จ ตามมาตรฐาน WLTP
สำหรับ Mercedes-EQE 500 4Matic SUV
รุ่นใหญ่ที่ยังไม่ใช่รถในตระกูล AMG มาพร้อมกำลังขับเคลื่อน 396 แรงม้า และแรงบิด 858 นิวตัน-เมตร ซึ่งเมื่อเทียบในการใช้งานแล้ว ระยะการเดินทางไม่ต่างกับ EQE 350 4Matic มากนัก โดยอยู่ที่ระหว่าง 460–547 กม. ต่อชาร์จ แต่หากยังแรงไม่พอ…ทางค่ายดาวสามแฉกยังมีอีก 2 ทางเลือกในตระกูล AMG โดย Mercedes-AMG EQE 43 4Matic SUV มาพร้อมกำลัง 476 แรงม้า โดยแรงบิดยังคงอยู่ในระดับเดียวกับ EQE 500 4Matic ซึ่งส่งให้ EQE 43 4Matic สามารถทำความเร็วจาก 0-100 กม./ชม. ได้ใน 4.3 วินาที และทำความเร็วสูงสุดได้ที่ 210 กม.
แต่หากยังรู้สึกคาใจกับความเร็วที่ได้ ยังมีรุ่น EQE 53 4Matic ที่ได้รับการปรับสเป็คมอเตอร์มาเป็นพิเศษ สามารถรองรับกระแสไฟได้สูงขึ้น กำลังที่ได้คือ 626 แรงม้า พร้อมกับแรงบิด 950 นิวตัน-เมตร และสามารถทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 220 กม./ชม. แล้วถ้ายังไม่พอใจอีก !!! ทางค่ายยังจัดตัวเลือก AMG Dynamic Plus Package ที่มาพร้อมฟังค์ชั่น Race Start และ Boost ที่จะเพิ่มกำลังเป็น 687 แรงม้า พร้อมแรงบิด 1,000 นิวตัน-เมตร (ขึ้นอยู่กับอุณหภูมิและปริมาณไฟในแบตเตอรี่) ช่วยยกระดับอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ในเวลา 3.5 วินาที และทำความเร็วสูงสุดเพิ่มเป็น 240 กม./ชม.
Mercedes-EQE SUV มาพร้อมความสามารถในการรองรับการชาร์จสูงสุดอยู่ที่ 170 kW (น้อยกว่า EQS ที่ 200 kW) ซึ่งด้วยขีดความสามารถดังกล่าว จะทำให้ Mercedes-EQE SUV สามารถเดินทางได้ 220 กม. เมื่อแวะชาร์จ DC ประมาณ 15 นาที ส่วนการชาร์จแบบปกติด้วยไฟ AC รองรับการชาร์จสูงสุด 22 kW ซึ่งถ้าชาร์จด้วยกำลังไฟนี้ จะสามารถเติมไฟจาก 0-100% ได้ภายในเวลาไม่ถึง 5 ชั่วโมง โดย Mercedes-EQE SUV มีแพลนจะเริ่มผลิตในช่วงปลายปี และทำตลาดอย่างเป็นทางการในปี 2023