Home » Mercedes-AMG ONE ตัวแข่ง Formula 1 ในรูปแบบโปรดักชั่นคาร์

Mercedes-AMG ONE ตัวแข่ง Formula 1 ในรูปแบบโปรดักชั่นคาร์

by Admin clubza.tv
2023-Mercedes-AMG-ONE-41

เมื่อ 5 ปีก่อน ทางค่ายดาวสามแฉกได้เผยโฉมรถต้นแบบ Mercedes-AMG Project One ไฮเปอร์คาร์ซึ่งเป็นเสมือนเวอร์ชั่นถนนที่ถอดแบบมาจากรถแข่ง Formula 1 ของค่าย แต่ด้วยระยะเวลาที่ผ่านไป จึงไม่มีใครจินตนาการว่าสิ่งนี้จะมีความเป็นไปได้จริง ณ เวลานี้ จนกระทั่งในที่สุดค่ายชั้นนำแห่ง Affalterbach ซึ่งถือเป็นทีมที่ประสบความสำเร็จอย่างล้นหลามมากที่สุดทีมหนึ่งในวงการ Formula 1 ก็ได้ฤกษ์เปิดตัว Mercedes-AMG One ที่ยังคงไว้ซึ่งกลิ่นอายของรถคอนเซ็ปท์ที่เผยโฉมไปเมื่อ 5 ปีก่อน และที่สำคัญคือ ยังมาพร้อมขุมพลังที่ยกมาจากตัวแข่งรถสูตรหึ่ง ซึ่งมีกำลังมากกว่า 1,000 แรงม้า

Mercedes-AMG One ร่างจำแลงของตัวแข่ง F1 ในคราบรถโปรดักชั่น

โครงสร้างคาร์บอนโมโนค็อก ชัดเจนว่าเกิดมาเพื่อการแข่งขันโดยเฉพาะ

Mercedes-AMG One มาพร้อมโครงสร้างหลักแบบโมโนค็อกที่ทำจากคาร์บอนไฟเบอร์ พร้อมเสริมด้วยซับเฟรมอลูมิเนียมทั้งในด้านหน้าและหลัง ในขระที่เครื่องยนตืและเกียร์เป็นส่วนเสริมที่ช่วยในการรองรับน้ำหนักที่เพิ่มเข้ามา ระบบช่วงล่างมาในรูปแบบ 5 Links พร้อมสตรัทแบบปรับได้ทั้งหน้าและหลัง สามารถปรับเซ็ตได้ตามต้องการทั้ง Comfort, Sport และ Sport+ เพื่อประสิทธิภาพสูงสุดในการควบคุม (หน้าปรับขึ้น – ลงได้ 37 มม. หลังปรับขึ้น – ลง ได้ 30 มม.) นอกจากนี้ยังมาพร้อมระบบปรับระดับในด้านหน้าให้สูงขึ้น (สำหรับการขับขี่ขึ้นเนิน, ผ่านลอน) ระบบเบรกมาในรูปแบบคอมโพสิตเซรามิคที่มีน้ำหนักเบาเป็นพิเศษจาก AMG ขนาดจาน 398 มม. จับคู่คาลิเปอร์ 6 POT ที่ล้อหน้า และจาน 380 มม. กับคาลิเปอร์ 4 POT ที่ล้อหลัง

ล้อแม็กนีเซียมดีไซน์พิเศษ พร้อม Aero Cover สูตรเฉพาะจาก AMG

โช้กอัพวางนอน สูตรเด็ดสไตล์ตัวแข่งระดับโลก

แอคทีฟแอโร่ไดนามิคส์แพคเกจที่ถอดแบบมาเพื่อใช้งานจริง

นอกจากขุมพลังที่เร้าใจแล้ว หัวใจหลักที่ส่งให้ Mercedes-AMG One มีความเป็นไฮเปอร์คาร์อย่างไร้ข้อกังขา นั่นก็คือ แอโร่ไดนามิคส์แพคเกจที่มาในรูปแบบแอคทีฟ สามารถปรับการทำงานได้อย่างเหมาะสมกับรูปแบบการขับขี่ ดีไซน์ในภาพรวมของ Mercedes-AMG One ดูเหมือนกับคอนเซ็ปท์ที่เผยโฉมในปี 2017 ทุกประการ เช่น สกู๊ปบนหลังคา, ครีบระบายลมแบบแอคทีฟที่ซุ้มล้อหน้า รวมถึงสปอยเลอร์ท้ายแบบแอคทีฟ แต่หากมีการปรับรายละเอียดปลีกย่อยเพื่อให้ Mercedes-AMG One สามารถใช้งานบนถนนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นเท่านั้น เช่น การออกแบบช่องระบายลมเหนือชุดไฟท้ายให้มีขนาดใหญ่มากขึ้น, ดีไซน์ที่แตกต่างเล็กน้อยของชุดดิฟฟิวเซอร์อันเป็นที่อยู่ของปลายท่อไอเสีย 3 ท่อ ซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจากตัวแข่ง Formula 1 รวมถึงฝาครอบเครื่องคาร์บอนไฟเบอร์ที่สามารถถอดได้ และกระจกมองข้างที่ออกแบบให้มีขนาดใหญ่มากขึ้น

การเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนที่สุดของ Mercedes-AMG One คงหนีไม่พ้นการมาพร้อมล้ออัลลอยฟอร์จดีไซน์ 10 ก้าน พร้อมฝาครอบที่ทำจากคาร์บอนไฟเบอร์ที่ช่วยลดการหมุนวนและแรงต้นอากาศ ซึ่งเป็นชุดล้อที่ทางค่าย Mercedes-AMG ออกแบบมาเพื่อให้ใช้กับรถในรูปแบบไฮเปอร์คาร์เท่านั้น แต่หากยังรู้สึกไม่โดนใจ ทางค่ายยังมีทางเลือกด้วยล้อที่ทำจากแม็กนีเซียมอัลลอย Bionic Design 9 ก้าน ซึ่งมีน้ำหนักเบาและมีความแข็งแรงที่เหนือกว่า พร้อมด้วย Aero Wheel Cover ในรูปแบบเดียวกัน ยาง Michelin Pilot Sport Cup 2R M01 ที่ใช้มาในขนาด 285/35 ZR19 ในด้านหน้า และ 335/30 ZR20 ที่คู่หลัง

ชุดแอโร่ไดนามิคส์ ปรับได้อย่างอิสระ ตามความเหมาะสมในแต่ละรูปแบบการขับขี่

3 รูปแบบ แพคเกจแอโร่ฯ จินตนาการให้เหมือนขับอยู่ในการแข่งขัน Formula 1

สำหรับการทำงานของชุดแอโร่ไดนามิคส์แพคเกจแบบแอคทีฟของ Mercedes-AMG One สามารเปรับตั้งได้ใน 3 รูปแบบ ภายใต้การควบคุมด้วยไฮดรอลิคส์ เริ่มตั้งแต่ในโหทด Highway ที่เน้นเพื่อการขับขี่ทั่วไป ซึ่งช่องระบายลมที่ฝากระโปรงหน้าจะถูกเปิดออก แต่ในส่วนของหางหลังและช่องระบายลมที่ซุ้มล้อจะปิด เพื่อให้ตัวรถมีแรงต้านไม่สูงมากนัก ส่วนในโหมด Track ระบบจะปรับการทำงานของแอโร่ไดนามิคส์ให้สร้างแรงกดได้สูงกว่าเดิมถึง 5 เท่า ด้วยการขยายลิ้นหน้า, ปรับทิศทางช่องรับลม พร้อมเปิดครีบบริเวณซุ้มล้อ พร้อมปรับการทำงานของหางหลังให้มีประสิทธิภาพในการสร้างดาวน์ฟอสอย่างเต็มที่ นอกจากนี้ยังมีการปรับความสูงของตัวรถให้เตี้ยลงอีก 37 มม. ที่ด้านหน้า และ 30 มม. ที่ด้านหลัง ส่วนในโหมดสุดท้าย Race DRS ชุดแอโร่ไดนามิคส์แพคเกจจะปรับลดแรงกดลงอีก 20% โดยจะตอบสนองในทันทีที่กดปุ่ม เพื่อลดแรงต้านและเพิ่มความเร็วสำหรับการเร่งแซง ซึ่งระบบนี้จะปิดหรือยกเลิกกการทำงานในทันทีที่มีการเหยียบเบรกหรือเมื่อตัวรถจับได้ว่าเกิดแรง G ในด้านข้าง

ขุมพลัง 1.6 ลิตร V6 พร้อมมอเตอร์ไฟฟ้า ให้กำลังรวมกว่า 1,000 แรงม้า พร้อมฟังค์ชั่นการใช้งานแบบ Full EV

ขุมพลัง E Performance ยกจากเวที Formula 1 มาทั้งดุ้น

Mercedes-AMG One ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ E Performance วางกลางตัวถัง ในรูปแบบ V6 DOHC พิกัด 1.6 ลิตร จ่ายเชื้อเพลิงตรงสู่ห้องเผาไหม้ พร้อมระบบการจุดระเบิดแบบ Pre Chamber Combustion จับคู่เทอร์โบไฟฟ้า และมอเตอร์ขับเคลื่อนที่ล้อทั้งสี่ ซึ่งด้วยประสิทธิภาพการทำงานของเครื่องยนต์ที่หมุนได้จัดถึง 11,000 รอบ/นาที สามารถสร้างกำลังในการขับเคลื่อนได้ถึง 566 แรงม้า ซึ่งถอืเป็นตัวเลขที่สูงมากเมื่อเทียบกับความจุในพิกัดเพียง 1.6 ลิตร  เมื่อผนึกกำลังกับมอเตอร์ทั้งสี่ จะให้แรงม้าสูงสุดถึง 1,049 ตัว โดยมอเตอร์ทั้ง 4 ตัวนั้น ไม่ได้ประจำการอยู่ในล้อขับเคลื่อนทั้ง 4 ล้อ แต่เป็นมอเตอร์ที่ 1 ตัว ติดตั้งไว้ที่เพลาข้อเหวี่ยง (161 แรงม้า) ตัวที่ 2 ติดตั้งไว้ที่แกนเทอร์โบ (121 แรงม้า) ส่วนอีก 2 ตัว ที่เหลือแยกอยู่ที่เพลาขับเคลื่อล้อหน้ารวม 322 แรงม้า ซึ่งทาง AMG ให้ข้อมูลว่า เครื่องยนต์บล็อคนี้ ให้การตอบสนองที่เหนือกว่าเครื่องยนต์ในรูปแบบ V8 NA เนื่องจากมีระบบเทอร์โบไฟฟ้ามาช่วยเพิ่มแรงบิดในรอบต่ำ

หน้าจอบอกสถานะพร้อมอุณหภูมิการทำงานของมอเตอร์ทั้ง 4 ตัว

Mercedes-AMG One ส่งกำลังด้วยชุดเกียร์กึ่งอัตโนมัติ 7 สปีด ที่รวมอยู่กับชุดเฟืองท้ายแบบ Locking Differential ในขณะที่ชุดล้อด้านหน้าจะขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าในรูปแบบ AMG Performance 4Matic+ ที่สามารถปรับระดับแรงขับเคลื่อนได้อย่างอิสระ เพื่อให้ตัวรถ Mercedes-AMG One มีประสิทธิภาพในการยึดเกาะอย่างเหมาะสมที่สุด นอกจากนี้สิ่งที่ขาดไม่ได้ก็คือ มอเตอร์คู่หน้ายังสามารถชาร์จพลังงานกลับเข้าสู่แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนขนาด 8.4 kWh ได้สูงสุดถึง 80% ในขณะที่ลดความเร็ว (รองรับการชาร์จปกติ 3.7 kW) ซึ่งการวิ่งด้วย EV Mode สามารถทำได้ 18.1 กม.

พวงมาลัย F1 Style พร้อมปุ่มปรับโหมด 6 รูปแบบ

6 โหมด การขับขี่ เน้นประหยัด ยันเน้นแข่ง…จัดให้ครบๆ

สิ่งหนึ่งที่ Mercedes-AMG One เน้นความสำคัญกับผู้ใช้ คือ การเตรียมโหมดการขับขี่มาให้เลือกถึง 6 รูปแบบ เริ่มตั้งแต่ Race Safe สำหรับการขับขี่ทั่วไปที่เน้นการขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าเป็นหลัก, Race เน้นการทำงานแบบไฮบริด โดยเครื่องยนต์จะติดอย่างต่อเนื่อง เพื่อรักษาระดับพลังงานในแบตเตอรี่, EV ทำงานเฉพาะมอเตอร์ไฟฟ้า, Race Plus ลักษณะการทำงานคล้ายกับ Race แต่เพิ่มรายละเอียดของแอโร่ไดนามิคส์ที่สูงมากขึ้น, Strat 2 ปล่อยกำลังสูงสุด ในแอโร่ไดนามิคส์แพคเกจขั้นสุด เหมาะสำหรับในสนามแข่งเท่านั้น และโหมดสุดท้ายคือ Individual ที่ผู้ขับขี่สามารถปรับเลือกระดับการทำงานของฟังค์ชั่นต่างๆ ได้ตามต้องการ นอกจากนี้ Mercedes-AMG One ยังมาพร้อมฟังค์ชั่น Race Start ที่สามารถล้อครอบออกตัว และทำให้ตัวรถสามารถทะยานจากจุดหยุดนิ่งถึงที่ความเร็ว 200 กม./ชม. ได้ในเวลาเพียง 7 วินาที (0-100 กม./ชม. ไม่มีคุยแล้ว) และทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 352 กม./ชม.

การจัดวางองประกอบในห้องโดยสาร เสมือนให้เป็นหนึ่งเดียวกับโครงสร้างโมโนค็อก

ภายในเรียบง่ายสไตล์ Minimalist

การออกแบบภายในห้องโดยสารของ Mercedes-AMG One เน้นความเรียบง่ายในแบบฉบับตัวแข่งด้วยแนวคิด Minimalist เน้นให้ทุกอย่างอยู่ในจุดที่สามารถใช้งานและมีเท่าที่ควรจะต้องใช้ตามสไตล์ตัวแข่ง เช่น การเลือกใช้เบาะ 2 ที่นั่ง เชื่อมกันเหนืออุโมงกลาง ราวกับว่าเป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างคาร์บอนโมโนค็อก โดยพนักพิงหลังสามารถปรับระดับได้ 2 ตำแหน่ง พวงมาลัยมาในรูปแบบ F1 Style พร้อมชิฟท์ไลท์และปุ่มปรับโหมดการขับขี่ ซึ่งด้วยความที่เบาะนั่งออกแบบมาให้ Fix อยู่กับที่ ฟังค์ชั่นการปรับระยะของแป้นเหยียบจึงเป็นสิ่งที่ได้มาแทนที่เพื่อให้สามารถขับขี่ได้อย่างกระชับ พอดีตัวมากที่สุด และแม้ว่า Mercedes-AMG One จะเป็นรถไฮเปอร์คาร์ที่ออกแบบมาโดยเน้นการขับขี่ในสนามแข่งเป็นหลัก แต่ยังไม่ลืมที่จะใส่ฟังค์ชั่นอำนวยความสะดวกมาให้ ไม่ว่าจะเป็น จอแสดงผลขนาด 10 นิ้ว 2 จอ สำหรับการแสดงผลและเชื่อมต่อระบบความบันเทิงที่มาพร้อมช่องเชื่อมต่อ USB 2 จุด, กระจกมองหลังมาในรูปแบบดิจิตัล แสดงภาพจากกล้อง MirrorCam เนื่องจากตัวรถไม่มีกระจกด้านหลัง ธีมการตกแต่งโดยรวมเน้นการใช้หนัง Nappa สลับ Dinamica Microfiber จับคู่กับแถบอลูมิเนียมและคาร์บอนไฟเบอร์

สุดท้าย…คือ เสียดายที่ขายหมดแล้ว !!!

Mercedes-AMG One จะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในงาน Goodwood Festival of Speed 2022 ที่ประเทศอังกฤษ ซึ่งในงานดังกล่าว จะมีการประลองความเร็วของไฮเปอร์คาร์อย่าง Mercedes-AMG One, Aston Martin Valkyrie และ Gordon Murray T.50 ซึ่ง 2 รุ่นหลัง มาพร้อมออพชั่นขุมพลังแบบ V12 สำหรับการแข่งขันให้เลือกเพิ่มเติม (Mercedes-AMG One มีตัวเลือกเดียว) ส่วนในแง่การขาย Mercedes-AMG One จะผลิตในจำนวนจำกัดเพียง 275 คันทั่วโลก และจำหน่ายในราคา 2.72 ล้านเหรียญสหรัฐ (93.4 ล้านบาท) ซึ่งในจำนวนดังกล่าวนั้น ถูกจับจองทั้งหมดเป็นที่เรียบร้อย

 

บทความเเนะนำ FORMULA 1, FORMULA E, WRC จับตัวแข่งเหล่านี้มาหวดกันในระยะ 402 ม. ใครกิน ?


ข่าวแนะนำ

เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้ เพื่อสร้างประสบการณ์นำเสนอคอนเทนต์ที่ดีให้กับท่าน รวมถึงเพื่อจัดการข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์ที่ดีบนบริการของเว็บไซต์เรา หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไปโดยไม่มีการปรับตั้งค่าใดๆ นั่นเป็นการแสดงว่าท่านอนุญาตยินยอมที่จะรับคุกกี้บนเว็บไซต์และนโยบายสิทธิส่วนบุคคลของเรา ยอมรับ เรียนรู้เพิ่มเติม

Privacy & Cookies Policy