Home » Mini Cooper S Paddy Hopkirk Edition ความรู้สึก “พิเศษ” บนความ “ธรรมดา” ไม่ได้แรงบ้าเลือด…แต่ขับสนุกเวอร์

Mini Cooper S Paddy Hopkirk Edition ความรู้สึก “พิเศษ” บนความ “ธรรมดา” ไม่ได้แรงบ้าเลือด…แต่ขับสนุกเวอร์

by Admin clubza.tv

Mini Cooper S Paddy Hopkirk Edition

เปิดตัวมาในงาน Motor Show 2021 ในฐานะของรถที่ผลิตในจำนวนจำกัดเพียง 37 คัน ในประเทศไทย เพื่อเฉลิมฉลองการคว้าแชมป์ Monte Carlo Rally ของนักขับนามว่า Paddy Hopkirk ในปี ค.ศ.1964 อันเป็นที่มาของชื่อรุ่น ซึ่งความพิเศษของ Mini Cooper S Paddy Hopkirk Edition มีด้วยกันหลากหลายประการ ตั้งแต่การตกแต่งลวดลายและเติมอุปกรณ์ให้ชวนนึกถึงกลิ่นอายของตัวแข่งในยุค 60 แต่วสิ่งที่น่าสนใจที่สุดก็คือ การใช้ระบบส่งกำลังในรูปแบบเกียร์ธรรมดา 6 สปีด นั่นเอง

Mini Cooper S Paddy Hopkirk Edition ยังคงพื้นฐานที่ใกล้เคียงกับ Cooper S ต่างเพียงน้ำหนักจากชุดส่งกำลัง

สำหรับพื้นฐานโดยรวมของ Mini Cooper S Paddy Hopkirk Edition สร้างขึ้นร่วมกับรถในตระกูล Mini Cooper S Hatch 3 ประตู ซึ่งเป็นเจนเนอเรชั่นที่ 3 นับตั้งแต่เข้าร่วมชายคาของ BMW Group ในช่วงยุคมิลเลนเนียม ซึ่งใน Mini รุ่นใหม่ๆ ขึ้นมา มีการปรับรายละเอียดให้สามารถใช้งานได้อย่างหลากหลายยิ่งขึ้น โดยเฉพาะเรื่องของขนาดที่ออกแบบมาให้รองรับกับการใช้งานได้อย่างครอบคลุม ข้างหน้านั่งเดินทางได้กระชับ ข้างหลังไม่อึดอัดจนเกินไป แม้แต่คนสูง 180+ ซม. ก็ยังคงนั่งโดยสารในด้านหลังได้ โดยยังไม่เสียเอกลักษณ์ความกะทัดรัดในแบบฉบับความเป็น Mini ไป โดยหากเทียบ Mini Cooper S Paddy Hopkirk Edition กับ Mini Cooper S สิ่งที่แตกต่างกันอย่างชัดเจนที่สุด ก็คงหนีไม่พ้นเรื่องน้ำหนัก ซึ่งอุปกรณ์ที่ติดตั้งมาใน Mini Cooper S Paddy Hopkirk Edition เช่น ล้อแม็กขนาด 17 นิ้ว รวมถึงชุดเกียร์ธรรมดา 6 สปีด ทำให้ตัวรถมีน้ำหนักที่เบากว่า Mini Cooper S ราว 15 กก.

พื้นที่ใช้สอยในห้องโดยสาร Mini Cooper S Paddy Hopkirk Edition

สิ่งที่มีความแตกต่างระหว่าง Mini Cooper S Paddy Hopkirk Edition กับMini Cooper S อีก 2 รุ่นย่อย ที่มีจำหน่ายในประเทศไทย คงหนีไม่พ้นเรื่องของออพชั่น ซึ่งใน Mini Cooper S Paddy Hopkirk Edition นอกจากจะมีชุดแต่งพิเศษ ซึ่งประกอบไปด้วยลวดลายบนตัวถัง ไม่ว่าจะเป็น หมายเลข 37 บนตัวถัง, ฝากระโปรงคาดแถบขวาง พร้อมลายเซ็นและเลขทะเบียน 33EJB, ไฟสปอตไลท์, หลังคาสีขาว, เพล ทโลโก้ Paddy Hopkirk ที่ชวนให้นึกถึงตัวแข่ง Monte Carlo Rally ระดับตำนานในปี 1964 แล้ว ยังมีสิ่งอำนวนความสะดวกที่ใกล้เคียงกับในรุ่น High Trim เช่น หน้าจออินโฟเทนเม้นท์ขนาด 8.8 นิ้ว พร้อมชุดเครื่องเสียงจาก Harman Kardon สิ่งที่ต่างกันอย่างชัดเจนที่สุด คงหนีไม่พนชุดล้อที่ Mini Cooper S Paddy Hopkirk Edition จะมาในล้อขนาด 17 นิ้ว ส่วน Mini Cooper S High Trim จะมาในล้อขนาด 18 นิ้ว และชุดช่วงล่างที่เป็นแบบ Adaptive ที่สามารถปรับการตอบสนองได้อย่างหลากหลายมากขึ้น แต่หากเทียบราคาที่ต่างกันกว่า 320,000 บาท ก็พอเข้าใจได้ และ Mini Cooper S Paddy Hopkirk Edition ก็มีจุดเด่นที่ชัดเจนของตัวเอง ที่เรียกว่า…ความพิเศษ บนความธรรมดา นั่นเอง

ตัวเลขกำลังอาจไม่สูง…แต่ก็ขับสนุกใช่ย่อย

Mini Cooper S Paddy Hopkirk Edition มาพร้อมขุมพลังในรูปแบบ 4 สูบ แถวเรียง Twin Power Turbo 2.0 ลิตร ให้กำลังขับเคลื่อน 192 แรงม้า ที่ 5-6,000 รอบ/นาที พร้อมกับแรงบิด 250 นิวตัน-เมตร แบบยาวๆ ตั้งแต่ 1,350-4,600 รอบ/นาที ซึ่งหากดูจากตัวเลขแล้ว อาจทำให้หลายคนผิดหวัง ความเป็นรุ่นพิเศษที่มาพร้อมเกียร์ธรรมดา 6 สปีด ทั้งที แต่กลับมีแรงม้าไม่ข้าม 200 ตัว แน่นอนว่าถ้าเป็นเครื่องยนต์ที่ได้รับการอัพเกรดในเวอร์ชั่น John Cooper Work น่าจะสร้างความตื่นเต้น (ในแว๊บแรก) ได้มากกว่านี้ แต่หลังจากที่ได้ทดลองขับจริง กลับพบว่า แม้ว่าตัวรถ Mini Cooper S Paddy Hopkirk Edition จะมีตัวเลขพละกำลังที่ไม่ได้สูงมาก แต่กลับเป็นรถที่สร้างสุนทรียภาพและการขับขี่ออกมาได้อย่างน่าประทับใจ จนรู้สึกได้ว่าเป็นการจับคู่ที่ดีระหว่างเครื่องยนต์และชุดเกียร์ที่มีแรงบิดมาให้ใช้ได้ในช่วงกว้าง ทำให้การตอบสนองนั้นทำได้อย่างเหมาะสม ไม่ต้องเชนจ์เกียร์เพื่อช่วยเรียกกำลังบ่อยครั้ง โดยหากต้องการคาแร็กเตอรืในการตอบสนองที่ต่างไป สามารถเลือกโหมดการขับขี่ที่ทาง Mini เซ็ตมาให้ นั่นก็คือ โหมด Green ที่เน้นเรื่องของความนุ่มนวลในการตอบสนอง รวมถึงความประหยัด, โหมด Mid สำหรับการใช้งานทั่วไปแบบสบายๆ ตอบสนองได้รวดเร็วพอตัว แต่หากในยามที่ต้องการความมันส์ขั้นสุดยอด ก็จะมีโหมด Sport มาให้เลือกใช้ ซึ่งคาแร็กเตอร์ของตัวรถจะออกมาในลักษณะคล้ายๆ กับรถแข่ง เช่น การตอบสนองของคันเร่ง มีความกระฉับกระเฉง รวมถึงในขณะที่เชนจ์เกียร์ลงต่ำ ตัวรถจะเร่งรอบเครื่องขึ้นมาให้โดยอัตโนมัติ เพื่อลดอาการกระชากในช่วงจังหวะต่อเกียร์ และสร้างอารมณ์ในการขับขี่ให้เร้าใจมากขึ้นอีกขั้น

Mini Cooper S Paddy Hopkirk 2021 vs. 1964

หลังจากที่ได้ทดลองขับ สิ่งที่น่าประทับใจอย่างหนึ่งในความเป็น Mini Cooper S Paddy Hopkirk Edition ก็คือ ด้วยความที่ Mini นั่นเป็นรถที่มีระยะฐานล้อ และโอเวอรืแฮงค์ที่สั้น ดังนั้นอาการของตัวรถจะค่อนข้างกระชับกระเฉง ให้ความรู้สึกในการตอบสนองได้เร็ว ดังนั้น…การขับขีี่ในช่วงเวลาที่ฝนตก หรือในสภาพถนนที่เปียกลื่น หากมีการใช้คันเร่งเกินกว่าที่จำเป็น ตัวรถจะออกอาการ Understeer ให้รู้สึกได้อย่างชัดเจน แต่ด้วยการทำงานของระบบ Traction Control ที่มีความละเอียด จะช่วยเก็บอาการของตัวรถไว้อย่างแนบเนียน จนแทบไม่รู้สึกถึงอาการหน้าดื้อดังกล่าว (หากไม่สังเกตแบบจับผิดจริงๆ) ซึ่งการทำงานของระบบ Traction Control (สามารถเลือกปิดการทำงานได้ 2 ระดับ คือ ผิดบางส่วนให้ตัวรถออกอาการได้บ้าง หรือปิดทั้งหมด เพื่อเน้นอารมณ์การขับขี่แบบดิบๆ) และโหมดการขับขี่ที่แตกต่างกัน ยังส่งผลต่อประสิทธิภาพการขับขี่ในภาพรวมอีกด้วย เพื่อให้เห็นภาพกับความแตกต่าง และคุณสมบัติในการแสดงออกด้านพละกำลังที่ต่างกัน ภาพนี้คงจะเป็นการเปรียบเทียบได้อย่างชัดเจนที่สุด กับอัตราเร่งของ Mini Cooper S Paddy Hopkirk Edition ในโหมดต่างๆ ทั้งในขณะที่ใช้งาน หรือปิดการทำงานของระบบ Traction Control โดยในส่วนของช่องแรกนั้น เป็นการทดลองขี่ในทุกโหมด ทั้งเปิดและปิดระบบการทำงานของ Traction Control บางส่วน ผลออกมาในรูปแบบเดียวกันคือ ในขณะที่ออกตัว หากล้อมีอาการหมุนฟรี ตัวรถจะตัดกำลังในทันที ทำให้อัตราเร่งในช่วงต้นต่างกับการทดสอบในรูปแบบที่ปิดการทำงานของ Traction Control ทั้งหมดใชช่องที่ 2-4 แบบชัดเจน อัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ทำได้ใน 8 วินาที ส่วนหากปิดระบบการทำงานของ Traction Control จะขยับลงมาเหลือเพียง 7.40 วินาที เท่านั้น

สิ่งที่น่าประหลาดใจกว่านั้นของ Mini Cooper S Paddy Hopkirk Edition คือ การตอบสนองของพละกำลังในโหมดต่างๆ ที่ให้ผลในการทดสอบแบบ “ผิดคาด” จากที่ในการขับขี่ทั่วๆ ไป การใช้โหมด Sport จะให้การตอบสนองที่รุนแรง รวดเร็วที่สุด แต่สำหรับการทดสอบอัตราเร่งนั้น มีตัวแปรเรื่องการส่งถ่ายแรงสู่พื้นได้อย่างหมดจดมาเกี่ยวข้อง นั่นทำให้โหมด Mid และโหมด Green แบบปิดการทำงานของ Traction Control เต็มระบบ กลับทำเวลาได้ดีกว่า เนื่องจากการอัตราการตอบสนองที่เหมาะกับการส่งถ่ายกำลังลงพื้นให้ได้มากที่สุด คือ ในจังหวะเร่งหรือต่อเกียร์ที่ผู้ขับขี่สวนคันเร่งลงไปอย่างรวดเร็ว ด้วยการตอบสนองที่ช้า ส่งผลให้อัตราการฟรีทิ้งของล้อขับเคลื่อน น้อยลงกว่าในโหมด Sport ที่ตอบสนองได้เร็ว จนเป็นที่มาของเวลาในการทำอัตราเร่งในช่วงต่างๆ ที่ดีมากขึ้น (เฉพาะในคอนดิชั่น…จอดออก) ซึ่งจากตัวเลขที่ได้เห็น ก็พอจะเดาได้ว่า Mini Cooper S Paddy Hopkirk Edition แม้จะเป็นรรถที่กำลำลังไม่สูง แต่เป็นรถที่ขับสนุกไม่แพ้รถคันไหนๆ เลยทีเดียว

อีกประการหนึ่งที่อดชื่นชมไม่ได้ก็คือ เรื่องของอัตราการสิ้นเปลืองในแบบฉบับของรถในเครือ BMW Group ยุคใหม่ที่เน้นเรื่องความประหยัดและการปล่อยมลพิษที่ต่ำ เช่นเดียวกับที่ Mini Cooper S Paddy Hopkirk Edition ทำออกมาได้อย่างน่าประทับใจ และใกล้เคียงกับที่แสดงไว้ใน Eco Sticker คือ อัตราสิ้นเปลืองสำหรับการวิ่งในเมือง 11.6 กม./ลิตร, นอกเมืองที่ความเร็ว 100-120 กม./ชม. อยู่ที่ 18.5 กม./ลิตร ซึ่งเมื่อเทียบกับสมรรถนะและความสนุกที่ได้รับ…ถือว่าทำออกมาได้ดีมากๆ

MINI COOPER S PADDY HOPKIRK EDITION

MINI COOPER S PADDY HOPKIRK EDITION

MINI COOPER S PADDY HOPKIRK EDITION

MINI COOPER S PADDY HOPKIRK EDITION


ข่าวแนะนำ

เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้ เพื่อสร้างประสบการณ์นำเสนอคอนเทนต์ที่ดีให้กับท่าน รวมถึงเพื่อจัดการข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์ที่ดีบนบริการของเว็บไซต์เรา หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไปโดยไม่มีการปรับตั้งค่าใดๆ นั่นเป็นการแสดงว่าท่านอนุญาตยินยอมที่จะรับคุกกี้บนเว็บไซต์และนโยบายสิทธิส่วนบุคคลของเรา ยอมรับ เรียนรู้เพิ่มเติม

Privacy & Cookies Policy