ถือเป็นข่าวร้ายของคนรักความเร็ว เมื่อครั้งหนึ่งค่าย Mercedes-Benz ประกาศว่าพร้อมเดินหน้าเต็มสูบทำตลาดรถในรูปแบบไฟฟ้าทั้ง 100% ภายในปี 2030 โดยเลิกพัฒนาเครื่องยนต์สันดาปภายในให้สิ้นซาก ฟังแบบนี้แล้ว คนที่ยังคงหลงใหลในรูป รส กลิ่น และเสียง ของเครื่องยนต์อาจมีใจสลาย คิดว่าชาตินี้อาจไม่ได้สัมผัสอรรถรสของการขับขี่ที่แท้จริงไปตลอดกาล เช่น ขุมพลัง V8 ที่เคยเป็นสุดยอดของค่าย ในปัจจุบันก็กลายมาเป็นเครื่องบล็อคเล็ก พ่วงด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า เพื่อมาชดเชยพละกำลังให้อยู่ในระดับเดียวกัย
แต่ในความเป็นจริงแล้ว เนื้อในใจความที่ Mercedes-Benz ได้ประกาศเมื่อเดือนกรกฎาคม 2021 นั้น มีเครื่องหมายดอกจันตัวใหญ่ๆ ที่หลายคนอาจมองไม่เห็น โดยความเป็นไปได้ที่จะทำพูดนั้นจะเกิดขึ้น คือ เมื่อสภาวะตลาดอำนวย แต่หากในบางภูมิภาคที่ยังมีความต้องการ เครื่องยนต์สันดาป…อาจจะยังได้ไปต่อ โดยความหมายของ “เครื่องยนต์สันดาป” ที่ว่านั้น ไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นเครื่องยนตืขนาดเล้กที่ Down Sizing ลงมา เพื่อลดการใช้เชื้อเพลิงและการปล่อยมลพิษ แต่ยังรวมไปถึงเครื่องยนต์สันดาปพิกัดท็อปคลาสอย่างเครื่องยนต์ V8 B-Turbo ที่ถือเป็นซิกเนเจอร์ของตัวแรงรุ่นใหญ่ให้คงอยู่…อย่างน้อยก็ถึงปี 2023
Joerg Bartels รองประธานฝ่ายพัฒนายานยนต์ของ Mercedes-Benz AG ให้ข้อมูลกับสื่อชั้นนำจากออสเตรเลียอย่าง CarSales ว่า การจะได้ หรือไม่ได้ไปต่อของขุมพลังในรูปแบบ V8 นั้น ขึ้นอยู่กับหลายๆ ปัจจัย โดยนอกจากเรื่องความต้องการแล้ว ยังมีเรื่องหนึ่งที่ต้องนำมาพิจารณา คือ กฎหมายมลพิษในแต่ละภูมิภาคที่มีความเข้มงวดต่างกันออกไป ซึ่งหากเทียบกับมาตรฐานในแดนบ้านเกิดอย่างสตุ๊ดการ์ด ประเทศเยอรมนี ถือว่าเครื่องยนต์บล็อคนี้ ปล่อยมลพิษอยู่ในค่ามาตรฐานที่ยอมรับได้ ซึ่งรวมไปถึงเครื่องยนต์ในรูปแบบ 6 สูบ หรือเครื่องยนต์ที่มีขนาดเล็กกว่านั้นด้วย นั้นหมายความว่า ณ เวลานี้ ยังไม่มีความจำเป็นทื่จะต้องเลิกใช้เครื่องยนต์สันดาปดังกล่าว
นอกจากเรื่องของมาตรฐานด้านมลพิษที่ยังอยู่ในระดับที่รับได้แล้ว สิ่งหนึ่ที่ได้รับการพัฒนาไปควบคู่กันก็คือ การใช้เชื้อเพลิงที่มีความเป็นกลางทางคาร์บอนเพื่อช่วยลดการสร้างมลพิษหลังปี 2030 (ภายในปี 2039) ซึ่งจะมาเสริมทัพ สมทบกับการทำตลาดของรถยนต์พลังงานไฟฟ้าล้วน เนื่องจากไม่มีเหตุผลใดที่ต้องเลิกทำ หากยังมีผู้ที่ต้องการใช้เครื่องยนต์สันดาปอยู่ แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่ยากลำบาก ในการพัฒนาเครื่องยนตืให้ผ่านมาตรฐานมลพิษในระดับ Euro 7 แต่ทางค่ายก็เชื่อว่า ไม่เกินความสามารถของทีมวิศวกรผู้พัฒนา แต่หาก…สิ่งที่ต้องแลกมา คงหนีไม่พ้นต้นทุนในการผลิตที่อาจสูงขึ้นตามไปด้วย (จนอาจเป็นเหตุผลที่ทำให้ลูกค้าบางคนถอดใจ)
แม้ว่าในปัจจุบัน รถสมรรถนะสูงหลายๆ รุ่นของ Mercedes-AMG เช่น Mercedes-AMG C63 เจนเนอเนชั่นล่าสุด มีการปรับเปลี่ยนมาใช้เครื่องยนต์บล็อค 4 สูบ 2.0 ลิตร เทอร์โบ (เช่นเดียวกับ Mercedes-AMG E63 ที่มีแพลนจะเปิดตัวในเร็วๆ นี้) แต่สำหรับรุ่นที่เป็นสปอร์ระดับไอคอนิคอย่าง Mercedes-AMG GT เจนเนอเรชั่นที่ 2 อาจจะยังคงใช้เครื่องยนต์ V8 ตราบใดที่มาตรฐานมลพิษระดับ Euro 7 ยังไม่ประกาศใช้ เช่นเดียวกับ Mercedes-Maybach S680 ที่จะยังคงมาพร้อมเครื่องยนต์ V12 ต่อไปอีกเจนเนอเรชั่น