หากคุณเป็นสาวกบีมเมอร์ตัวจริง แน่นอนว่าคุณอาจคุ้นเคยกับตัวอักษร i ที่เป็นสัญลักษณ์ที่บ่งบอกถึงคุณลักษณะของรถรุ่นนั้นๆ เช่น BMW 318i, BMW 525i อันเป็นรหัสต่อท้ายของรุ่นที่ใช้เครื่องยนต์เบ็นซินหัวฉีดมาอย่างยาวนาน แต่จากนี้ไป ค่าย BMW ประกาศว่าจะหยุดใช้ตัวอักษร i ดังกล่าว เพื่อลดความสับสน โดยจะเว้นที่ว่าให้ตัวอักษร i นี้ อยู่ในเฉพาะรถยนต์ตระกูล i ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าล้วนเท่านั้น !
เดิมทีนั้น…การตั้งชื่อรุ่นรถยนต์ในค่าย BMW จะใช้รหัสตัวเลข พร้อมด้วยตัวอักษรต่อท้าย เช่น BMW 318i จะบ่งบอกถึงความเป็นรถในซีรีส์ 3 (คอมแพคคาร์) และ 18 คือ ขนาดของเครื่องยนต์ (แรกเริ่ม คือ 1.8 ลิตร แต่ในระยะหลัง จะเป็นตัวเลขที่บ่งบอกถึงระดับพละกำลัง เนื่องจากเครื่องยนต์ในยุคใหม่ มักจะมาในรูปแบบ DownSizing ที่มีความจุกระบอกสูบน้อยลง แต่สมรรถนะเทียบเท่าเครื่องยนต์ที่ใหญ่กว่า จากการใช้ระบบอัดอากาศมาเป็นตัวช่วยเพิ่มกำลัง เช่น BMW M440i ที่ใช้เครื่องยนต์ 3.0 ลิตร เทอร์โบ ซึ่งมีกำลังเทียบเท่าเครื่องยนต์ในรูปแบบ 4.0 ลิตร แบบดั้งเดิม) ส่วนตัวอักษร i จะเป็นตัวบอกว่า เครื่องยนต์บล็อคนั้นๆ ใช้ระบบการจ่ายเชื้อเพลิงด้วยหัวฉีด หรือ Injector (เป็นการอัพเกรดเทคโนโลยีการจ่ายเชื้อเพลิงของเครื่องยนต์ในช่วงกลางยุค 80 จากคาบูเรเตอร์ มาเป็นหัวฉีด) หรือหากเป็นรหัสต่อท้ายด้วยตัวอักษร d และ e ก็จะหมายถึง การใช้เครื่องยนต์ในรูปแบบดีเซล หรือใช้เทคโนโลยีปลั๊กอินไฮบริด เป็นต้น
แต่ด้วยยุคสมัยที่เปลี่ยนไป รถยนต์จากค่าย BMW มีการนำเสนอนวัตกรรมใหม่ๆ โดยเฉพาะกลุ่มรถยนต์พลังงานไฟฟ้า (ซึ่งเริ่มจากรถในกลุ่มไฮบริดก่อน เช่น BMW i8, BMW i3) ที่จะใช้รหัส i นำหน้าชื่อรุ่น เพื่อเป็นการบ่งบอกคุณลักษณะพิเศษในเรื่องเทคโนโลยีการขับเคลื่อน นั่นจึงอาจทำให้ผู้บริโภคเกิดความสับสน ทางค่ายจึงตัดสินใจที่จะยกเลิกการใช้ตัวอักษร i สำหรับรถในกลุ่มที่ใช้เครื่องยนต์สันดาป และจะเก็ยตัวอักษรนี้ไว้ใช้กับแบรนด์ i ที่เป็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้าจากค่าย BMW เท่านั้น เพื่อทำให้ลูกค้าเข้าใจถึงคุณลักษณะของตัวรถได้ง่ายมากขึ้น เช่น BMW iX2 คือ รถในตระกูล X2 ที่ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าล้วน หรือ BMW i5 คือ ซีรีส์ 5 แบบ BEV นั่นเอง
ณ ปัจจุบัน อาจจะยังมีบางรุ่นของ BMW ที่ทำตลาดมาก่อนหน้านี้ ยังคงปรากฏตัวอักษร i ต่อท้ายชุดตัวเลขให้เห็นอยู่บ้าง แต่ในอนาคต เอกลักษณ์ที่บ่งบอกถึงความเป็นเครื่องยนต์สันดาปที่จ่ายเชื่อเพลิงด้วยหัวฉีด (ซึ่งปัจจุบันใช้ระบบหัวฉีดทั้งหมดมาร่วม 3 ทศวรรษ แล้ว) จะค่อยๆ หายไปตามกาลเวลา เพื่อหลีกทางให้กับรถในกลุ่มพลังงานไฟฟ้า ที่จะมาเป็นทางเลือกสำคัญในอนาคตต่อไป