หากพูดถึงรถที่เหมาะกับการใชงานทั่วๆ ไป รถประเภทหนึ่งที่ผู้ใช้ให้ความนิยมก็คือ รถในรูปแบบ B-Segment Hatchback ซึ่งรถในคลาสนี้ ที่มีจำหน่ายอยู่ในบ้านเรา ประกอบไปด้วย Honda City Hatchback, Honda Jazz, Toyota Yaris, Mazda 2, Suzuki Swift รวมถึงม้านอกสายตาอย่าง Nissan Note ที่ยังมีการทำตลาดอยู่ในปัจจุบัน เรามาดูกันว่า B-Segment Hatchback คันไหน มีสิ่งที่น่าสนใจ หรือจุดเด่นอยู่ตรงไหน ที่ทำให้รถเหล่านี้…โดนใจผู้ใช้มากที่สุด
เริ่มกันด้วยขนาดตัวถัง รถบางรุ่นอยู่ในช่วงคาบเกี่ยวระหว่าง B-Segment Hatchback ยุคเก่ากลางเก่ากลางใหม่ กับยุคใหม่ ทำให้ตรงส่วนนี้มีช่องว่างระหว่างรถทั้ง 2 ยุค สังเกตได้ง่ายๆ หากเทียบ Honda City Hatchback กับ Honda Jazz แม้จะเป็นรถที่มาในแบรนด์เดียวกัน แต่กลับมีการออกแบบและวางขนาดที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน หากวัดขนาดกันในรถคลาส B-Segment Hatchback จะพบว่ารุ่นที่ออกมาล่าสุดอย่าง Honda City Hatchback ดูจะได้เปรียบในหลายๆ ด้าน ทั้งในเรื่องความกว้าง และความยาวของตัวรถ เช่นเดียวกับในส่วนของระยะฐษนล้อ ที่ทำออกมาได้ยาวจนหน้าพอใจ พื้นที่การโดยสารนั้นทำได้ดีมากๆ แต่…หากวัดกันจริงๆ ยังมีฐานล้อที่ยาวเป็นรอง “รถใช้ดี…ที่คนลืมไปแล้ว” อย่าง Nissan Note ที่ยาวกว่าอยู่ 11 มม. ซึ่งเป็นจุดที่น่าชื่นชม แม้ว่ารถจะออกมานานมากแล้ว แต่แสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ในการ “คิดเผื่อ” เพื่อตอบโจทย์ในการโดยสารได้อย่างแท้จริง ส่วนด้านน้ำหนักนั้น โดยเฉลี่ยของรถ B-Segment Hatchback จะอยู่ที่ราว 1 ตัน +- ยกเว้นรถที่มีคาแร็กเตอร์ในการขับเคลื่อนพิเศษกว่าชาวบ้านเขา เช่น มีการติดตั้งเทอร์โบ, ใช้เครื่องยนต์ดีเซล หรือมาพร้อมระบบการขับเคลื่อนในรูปแบบไฮบริด แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น…น้ำหนักที่เพิ่มขึ้น ไม่ได้ส่งผลต่อการใช้งานอย่างมีนัยสำคัญจนทำให้ต้องนำมาเป็นประเด็นในการพิจารณา
เทคโนโลยีในการขับเคลื่อน คือ อีกสิ่งหนึ่งที่ผู้ใช้รถในรูปแบบ B-Segment Hatchback ให้ความสนใจ (หรือบางครั้ง…แม้ไม่ได้สนใจ แต่ออพชั่นที่ต้องการ มีในรุ่นระบบขับเคลื่อนเทคโนโลยีสูงๆ ก็อาจจะต้องเลือกรุ่นบนด้วยใจจำยอม) ในคลาสนี้…ต้องยอมรับว่า Honda City Hatchback e:HEV มีเทคโนโลยีที่สูงกว่าเพื่อน ทั้งในเรื่องการขับเคลื่อน รวมถึงออพชั่นอื่นๆ ที่จะพูดถึงในหัวข้อต่อไป แรงม้าอาจไม่ใช่จุดเด่น สำหรับรถที่ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าเป็นหลัก แต่สิ่งที่คู่แข่งให้ไม่ได้ (ถ้าไม่ใช่เครื่องยนต์ในรูปแบบดีเซลของ Mazda 2) ก็คือ เรื่องของแรงบิดในระดับกว่า 250 นิวตัน-เมตร ที่พร้อมจะตอบสนองได้ในทันทีที่เหยียบคันเร่ง ซึ่งนอกจากจะขับสนุกแล้ว ยังสามารถทำอัตราการบริโภคได้อย่างน่าประทับใจ กดหนักๆ สลับขับใช้งาน ยังป้วนเปี้ยนอยู่ที่ 20 กม./ลิตร +- ด้าน Nissan Note ที่เป็นพระเอกในแย่พื้นที่ใช้สอย พอมาในหัวข้อนี้ เหมือนแปลงร่างกลายมาเป็นผู้ร้าย ด้วยกำลังที่ต่ำเตี้ยที่สุดในคลาส นอกจากจะกำลังไม่สูงแล้ว ยังมีอัตราสิ้นเปลืองที่ดีกว่าเพียงแค่ Honda Jazz เท่านั้น ซึ่งทั้งคู่เป็นรถที่ใช้เทคโนโลยีเครื่องยนต์แบบดั้งเดิม แต่รถที่น่าชื่นชมที่สุด ในด้านความสนุกในการขับขี่ที่สวนทางกับตัวเลขพละกำลังก็คือ Suzuki Swift ที่ขับได้สนุก ด้วยการออกแบบโครงสร้างที่ยอดเยี่ยม และมีน้ำหนักที่เบากว่าเพื่อนในคลาส B-Segment Hatchback
เป็นธรรมดาสำหรับรถ B-Segment Hatchback รวมถึงรถในคลาสอื่นๆ ที่จ่ายแพงและต้องได้มาก (แต่ไม่เสมอไปนะ) ออพชั่นและระบบความปลอดภัยของรถในคลาส Honda City Hatchback e:HEV ดูจะนำโด่งตามราคาที่สูงกว่าเพื่อน จุดเด่น คือ ได้ดิสค์เบรกที่ล้อหลัง (เช่นเดียวกับ Mazda 2 ดีเซล), ระบบเบรกมือไฟฟ้าที่แพคคู่มากับระบบ Auto Brake Hold, มีบรรดาระบบ Adaptive ทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็น Cruise Control, ปรับไฟสูงอัตโนมัติ (Mazda 2 มี), ระบบเตือนการชน พร้อมช่วยเบรกฉุกเฉิน (Nissan Note มี), ระบบเตือนจุดอับสายตา (Mazda 2 และ Nissan Note มี), ระบบเตือนเมื่อออกนอกเลน (Toyota Yaris และ Nissan Note มี) และระบบล็อครถอัตโนมัติ เมื่อกุญแจอยู่นอกระยะ ทั้งหมดทั้งมวล เกือบทำให้ Honda City Hatchback e:HEV ดูไร้ที่ติในคลาส B-Segment Hatchback แต่น่าเสียดาย…ที่ดันมาตกม้าตาย เพราะไม่มีกล้องมองรอบทิศทางแบบที่ Mazda 2, Toyota Yaris และ Nissan Note มีให้ ทั้งๆ ที่รถออกมาทีหลังเพื่อน ที่น่าชื่นชมในหัวข้อนี้ คือ Nissan Note ที่ให้อภัยได้ยากในเรื่องพละกำลัง แต่ในระบบความปลอดภัย พี่เขาใส่มาให้แบบเต็มๆ แม้ว่ารถจะออกมาทำตลาดก่อนเพื่อนก็ตาม ที่สำคัญยังเป็น B-Segment Hatchback รุ่นท็อป ที่ทำราคาได้ดีที่สุดในคลาสอีกด้วย
พิจารณาในด้านราคาของ B-Segment Hatchback
ช่องว่างระหว่างรถที่ราคาสูงที่สุด Honda City Hatchback e:HEV กับรถที่มีราคาต่ำที่สุดสูงถึง Nissan Note ถ้าวัดเฉพาะเรื่องระบบการขับเคลื่อน รวมถึงออพชั่นที่ต่างกัน ส่วนต่าง 254,000 บาท ต้องบอกว่าเป็นช่องว่างที่สูงมาก แต่ด้วยจุดด้อยของฝ่ายหลังทีมีช่องให้เรียกว่าเป็น “จุดอ่อน” ได้แบบเต็มปากเต็มคำ ทำให้ต่อให้มีส่วนต่างมากขนาดนี้ ผู้ใช้ก็ยังมุ่งเป้าไปที่รถที่ราคาสูงกว่าอยู่ดี (ผิดกับเพื่อนร่วมค่ายอย่าง Nissan Almera ที่ทำยอดขายได้อย่างน่าประทับใจ “รุ่นเดียว” ของค่าย) หากเทียบ Honda City Hatchback ทั้ง 2 รุ่น ส่วนต่าง 100,000 บาท ถ้าเทียบกับเทคโนโลยีการขับเคลื่อน และระบบความปลอดภัยที่เพิ่มมา #ทีมขับซ่า ลงความเห็นเป็นเสียงเดียวกันว่า “คุ้มค่า” แต่มีจุดด้อยแค่ว่า…ราคาตั้งแรกเริ่มนั้นสูงเกินคำว่า “ง่ายต่อการตัดสินใจ” ซึ่งหากมองในแง่ความคุ้มค่า และการใช้งานล้วนๆ ยังมีตัวเลือกอีกมากที่ตอบโจทย์ในความเป็นมินิมอล กับรถในรูปแบบ B-Segment Hatchback ได้ไม่แพ้กัน เช่น Suzuki Swift กับ Honda City Hatchback ที่ราคาต่างกับถึง 120,000 บาท แต่กลับมีฟังค์ชั่น และคุณสมบัติในการใช้งานในระดับที่ใกล้เคียงกัน
ทั้งนี้ทั้งนั้น การเปรียบเทียบ B-Segment Hatchback
เป็นเพียงการนำข้อมูลมาพูดคุยเพื่อให้เห็นภาพ ในความเป็นจริงแล้ว การจะเลือกซื้อรถสักคัน อาจมีองค์ประกอบที่มากกว่านั้น เช่น ความถูกอกถูกใจในเรื่องของดีไซน์, ฟีลลิ่งการขับขี่ รวมถึงความพึงพอใจต่อแบรนด์โดยส่วนตัว ซึ่งผู้ซื้อควรไปลองพิสูจน์ด้วยตัวเอง เพื่อให้ได้คำตอบที่ตรงใจ และเข้ากับเงื่อนไขในการเลือกซื้อมากที่สุด