Toyota Land Cruiser เลิกการทำตลาดในอเมริกาไปตั้งแต่ปี 2021 ก่อนจะคัมแบคอย่างยิ่งใหญ่ ณ ปัจจุบัน ซึ่งนอกจากโมเดลใหม่จะมีรายละเอียดที่น่าสนใจมากขึ้นแล้ว ปัจจัยหนึ่งที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถตัดสินใจได้ง่าย คงหนีไม่พ้นการปรับค่าตัวเริ่มต้นในระดับ $50,000 (ประมาณ 1.7 ล้านบาท) แม้ว่าจะไม่ใช่ราคาที่เข้าถึงได้ง่ายมากนัก แต่หากเทียบกับเจนเนอเรชั่นก่อนที่มีค่าตัวสูงกว่า $85,000 ก็น่าจะทำให้แฟนๆ ของ Toyota ได้สัมผัสสมรระนะของตัวลุย Toyota Land Cruiser ได้ง่ายมากขึ้น
สิ่งหนึ่งที่เราสังเกตได้ในการกลับมาของ Toyota Land Cruiser 2024 คือ ภาพลักษณ์ที่มีความดุดัน ผสานดีไซน์ของตัวลุยระดับไอคอนิคที่ให้ลุคสมบุกสมบันเหนือกาลเวลา (ในแต่ละรุ่นย่อย มีรูปแบบในการตกแต่งที่แตกต่างกันออกไป) โดยตัวรถได้รับการพัฒนาบนโครงสร้างแพลตฟอร์ม GA-F ซึ่งเป็นพื้นฐานแบบ Body on Frame เช่นเดียวกับ Lexus GX เจนเนอเรชั่นปัจจุบัน ที่เปิดตัวไปเมื่อไม่กี่เดือนก่อน จุดเด่นอย่างแรกของ Toyota Land Cruiser 2024 ในรุ่นเริ่มต้น คือ การมาพร้อมไฟหน้าทรงกลม ขนาบข้างกระจังหน้าขนาดใหญ่แปะตัวอักษร TOYOTA ขนาบข้างชุดไฟหน้า LED ดีไซน์สี่เหลี่ยมผืนผ้า ซึ่งได้แรงบันดาลในมาจาก Toyota Land Cruiser FJ62 ที่โด่งดังในช่วงกลางยุค 80 ส่วนในรุ่นกลางจะมาพร้อมไฟหน้าดีไซน์เหลี่ยม จับคู่กับไฟตัดหมอกที่สามารถเลือกได้ระหว่างสีเหลืองและสีขาว เช่นเดียวกับที่เราเคยเห็นใน Toyota Tacoma
สำหรับลูกค้าที่ต้องการความสมบุกสมบันมากเกินปกติ สามารถเลือก Toyota Land Cruiser 2024 ในรุ่นย่อย First Edition ที่จะผลิตออกมาเพียง 5,000 คัน ซึ่งความพิเศษของรุ่นนี้ คือ จะมาพร้อมการ์ดกันแระแทกด้านหน้า ราวพร้อมแร็คหลังคา โดยในรุ่นท็อปนั้น ยังมากับไฟหน้าทรงกลมที่ให้กลิ่นอายความคลาสสิคได้มากขึ้นอีกขั้น นอกจากนี้ยังเติมความแข็งแกร่ง พร้อมลุยด้วยชุดบังโคลน ไฟประตูท้าย รวมถึงการ์ดกันกระแทกบริเวณประตูหลัง โดยล้อที่ให้มากับ Toyota Land Cruiser 2024 รุ่น First Edition จะมาในขนาด 18 นิ้ว (ในรุ่นย่อยอื่นๆ มีล้อ 20 นิ้ว ให้เลือกเป็นออพชั่น) รัดด้วยยางแบบ All Terrain
Toyota Land Cruiser 2024 มาพร้อมมิติตัวถัง
ความกว้าง x ยาว x สูง อยู่ที่ 2,139 x 4,920 x 1,859 มม. และมีระยะฐานล้ออยู่ที่ 2,850 มม. นั่นหมายความว่า สั้นกว่าคู่แข่งอย่าง Land Rover Defender ถึง 173 มม. (แม้ว่าตัวรถจะมีความยาวมากกว่า 163 มม. ก็ตาม) โดย Toyota Land Cruiser 2024 มีสีตัวถังให้เลือกถึง 7 สี ประกอบไปด้วย Black, Ice Cap, Wind Chill Pearl, Underground, Meteor Shower, Trail Dust และ Heritage Blue นอกจากนี้ ลุกค้ายังสามารถเฃือกสีในรุปแบบทูโทน ที่เป็นการจับคู่สีระหว่าง Trail Dust หรือ Heritage Blue กับสีหลังคา Grayscape
การตกแต่งภายในของ Toyota Land Cruiser 2024
เน้นเส้นสายที่ดูเคร่งขรึม โดยมาในรุปแบบ 5 ที่นั่ง ซึ่งในแต่ละรุ่นย่อย ก็จะใช้รูปแบบการตกแต่งที่แตกต่างกันออกไป ในรุ่นย่อย Land Cruiser 1958 จะมาพร้อมเบาะผ้า, ปุ่น Push Start และหน้าจออินโฟเทนเม้นท์ Toyota Audio Multimedia ขนาด 8 นิ้ว จับคู่กับลำโพง 6 ตำแหน่ง โดยไฮไลท์ในรุ่นนี้ คือ การมาพร้อมชุด Wireless Charger พร้อมเครื่องจ่ายไฟขนาด 2400 W ซึ่งช่วยอำนวยความสะดวกสำหรับสายแคมปิ้งได้เป็นอย่างดี ส่วนในรุ่นที่สูงกว่านั้น จะปรับอุปกรณ์ด้วยชุดเบาะคู่หน้าแบบ SofTex ที่สามารถปรับอุณหภูมิอุ่น – เย็น ได้ตามต้องการ นอกจากนี้ยังมาพร้อมชุดแสดงข้อมูลบนกระจกหน้า, ชุดเครื่องเสียงจาก JBL ที่มาพร้อมลำโพง 14 ตำแหน่ง, กระจกมองหลังแบบดิจิตัล และหลังคาซันรูฟ
ใน Toyota Land Cruiser 2024 ทุกรุ่นย่อยนั้น จะมาพร้อมระบบช่วยเหลือการขับขี่ Toyota Safety Sense 3.0 ซึ่งประกอบไปด้วย ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน, ระบบเตือนออกนอกเลน พร้อมดึงกลับอัตโนมัติ, ระบบเตือนการชนทางด้านหน้าพร้อมช่วยเบรก ที่สามารถตรวจจับทั้งรถยนต์มอเตอรืไซค์ จักรยาน รวมถึงคนเดินถนน, ระบบอ่านป้ายจราจร และระบบเตือนจุดบอดเมื่อมีรถวิ่งมาจากทางด้านหลัง
Toyota Land Cruiser 2024 จะใช้ขุมพลังที่ต่างกัน Lexus GX
โดยบล้อคไฮไลท์เป็นเครื่องยนต์ไฮบริด i-Force Max พิกัด 2.4 ลิตร เทอร์โบ จับคู่กับชุดเกียร์ 8 สปีด ที่ผนวกเข้ากับชุดมอเตอร์ช่วยในการขับเคลื่อน ซึ่งจะอาศัยพลังงานจากแบตเตอรี่ขนาด 1.87 kWh ทั้งหมดทั้งมวล ให้กำลังขับเคลื่อนรวม 326 แรงม้า พร้อมกับแรงบิด 630 นิวตัน-เมตร ด้านระบบส่งกำลังของ Toyota Land Cruiser 2024 มาในรูปแบบขับเคลื่อนสี่ล้อ Full Time All Wheel Drive ที่มีชุด Center Differential พร้อมชุดเกียร์ทรานสเฟอร์แบบ 2 สปีด เพื่อช่วยให้การขับผ่านอุปสรรคและเส้นทางต่างๆ ทำได้อย่างเหมาะสม โดยตัวรถมีระยะต่ำสุดจากพื้นอยู่ที่ 221 มม. และมีมุมเข้าหา และมุมจากอยู่ที่ 30 และ 22 องสา ตามลำดับ นอกจากนี้ยังมีตัวช่วยในการขับขี่แบบออฟโร๊ดด้วย ระบบช่วยควบคุมความเร็วขณะลงทางชัน, ระบบช่วยควบคุมการปีนไต่ที่ความเร็วต่ำ ซึ่งหากฟังค์ชั่นที่ให้มาในรถยังไม่จุใจ ผู้ขับขี่สามารถเลือกอุปกรณ์เสริมจากโรงงาน ที่จะมีมาให้เลือกกว่า 100 รายการ ได้อีกด้วย