หาก Mazda MX-5 คือ โร๊ดเตอร์ที่ขับสนุกสำหรับใครๆ ก็ได้ Mercedes ในตระกูล SL คงเปรียบดั่งเวอร์ชั่นอัพเลเวลสำหรับสปอร์ตเปิดประทุนที่ขับสนุกเบอร์ต้นๆ ของโลก ซึ่งการกลับมาของ Mercedes-AMG SL 2022 ถือเป็นสปอร์ตโร๊ดสเตอร์เจนเนอเรชั่นที่ 7 จากตำนานกว่า 70 ปี ของค่ายดาวสามแฉก โดยเป็นการกลับมาอีกครั้งของการจัดเลย์เอาท์ในรูปแบบ 2+2 ที่นั่ง หลังจากที่ห่างหายไปกว่า 30 ปี แต่ที่พิเศษสุดๆ สำหรับการกลับมาของ Mercedes-AMG SL 2022 ก็คือ นี่เป็นครั้งแรกที่มีการนำระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ 4 Matic+ มาใช้กับรถตระกูลนี้
Mercedes-AMG SL 2022 สปอร์ตโร๊ดสเตอร์ผู้ผสานความสนุก และความเร้าใจของการขับขี่ไว้ในหนึ่งเดียว
1 รุ่น กับ 2 อารมณ์
บ่อยครั้งที่ผู้ผลิตเปิดตัวรถเจนเนอเรชั่นใหม่ๆ แล้วทำให้ผู้ใช้เกิดอาการ “อารมณ์ค้าง” กับการปรับรายละเอียดเพียงเล็กน้อย แบบเพิ่มนิด เติมหน่อย แต่คงไม่ใช่กับการกลับมาของ Mercedes-AMG SL 2022 ในครั้งนี้ เพราะเป็นการก้าวสู่เจนเนอเรชั่นใหม่ของสปอร์ตโร๊ดสเตอร์ตระกูล SL แบบเต็มคราบ ตั้งแต่ในส่วนของโครงสร้าง ที่ถูกพัฒนาโดยผสานคุณสมบัติที่มีความโดดเด่นของวัสดุหลากหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็น แม็กนีเซียม, อลูมิเนียม เหล็ก รวมถึงวัสดุคอมโพสิต ซึ่งแน่นอนว่าแพลตฟอร์มนี้ จะถูกต่อยอดไปยัง Mercedes-AMG GT Coupe เจนเนอเรชั่นต่อไปด้วย โดย Mercedes-AMG SL 2022 มาพร้อมความยาว 4,705 มม. (ยาวกว่าเดิม 74 มม.) และถูกยืดระยะฐานล้อเป็น 2,700 มม. ซี่งยาวกว่า SL เจนเนอเรชั่นก่อนถึง 115 มม. (และยาวกว่า Mercedes-AMG GT Roadster เจนฯ ก่อน 154 มม. ที่ยุติการทำตลาดไปเป็นทีเรียบร้อย เพราะเป็นรูปแบบ 2 ประตู ขุมพลัง V8 เช่นเดียวกัน) ซึ่งการกลับมาของ SL เจนเนอเรชั่นนี้ ตัวรถได้รับการยกระดับและปรับสไตล์ให้มี 2 อารมณ์ในคันเดียว โดยให้ทั้งความเร้าใจแบบเต็มขั้นภายใต้จิตวิญญาณความเป็น Mercedes-AMG ด้วยชุดกระจังหน้าแนวแบบเดียวกับที่ใช้ใน AMG ทุกๆ รุ่น โดยยังคงความสนุกของการขับขี่ในสไตล์โร๊ดสเตอร์ด้วย
ขุมพลัง V8 Bi-Turbo ยังคงอยู่ คาด…ในอนาคต รุ่นเสียบปลั๊กมาแน่
เครื่องยนต์สันดาปยังมาครบ ในอนาคตอาจมีเวอร์ชั่นเสียบปลั๊ก
ณ เวลานี้ Mercedes-AMG SL 2022 ยังมาพร้อมขุมพลัง 2 ทางเลือก โดยทั้งคู่มากับเครื่องยนต์ M177 แบบ V8 พิกัด 4.0 ลิตร ทวินเทอร์โบ สตาร์ทด้วยรุ่นแรงเบาๆ SL 55 พกพาพละกำลังระดับ 470 แรงม้า พร้อมกับแรงบิด 700 นิวตัน-เมตร ส่วนในรุ่นใหญ่ Mercedes-AMG SL 63 ที่ถูกยกระดับด้วยแรงดันบูสต์ การไหลของไอดี -ไอเสียที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมถึงการปรับโปรแกรมการจ่ายเชื้อเพลิงและการจุดระเบิด ให้กำลัง 577 แรงม้า แรงบิด 800 นิวตัน-เมตร เร้าใจขึ้นอีกนิด ส่วนในอนาคต…หากมีเวอรืชั่นที่เป็น Plug in Hybrid ออกมา คาดว่าจะสามารถยกระดับพละกำลังได้มากกว่านี้ โดยคาดว่าจะใช้ขุมพลังแบบเดียวกับที่ใช้ใน Mercedes-AMG GT 63 E ที่มีกำลังรวมทั้งระบบ 831 แรงม้า พร้อมแรงบิดที่เกินกว่า 1,400 นิวตัน-เมตร
ครั้งแรกของรถในตระกูล SL กับระบบส่งกำลัง 4 Matic+
เกียร์ 9 สปีด คลัทช์แช่อิ่ม และครั้งแรกกับ 4 Matic+ ในตระกูล SL
ไม่ว่าจะเลือกรุ่นไหน Mercedes-AMG SL 2022 ล้วนจับคู่ชุดเกียร์อัตโนมัติ 9 สปีด ซึ่งมีการปรับกลไกภายในจากชุดทอร์คคอนเวอร์เตอร์เป็นชุดคลัทช์แบบเปียก ที่ช่วยลดระยะเวลาในการเปลี่ยนเกียร์ให้กระชับมากขึ้น ตอบสนองได้ดีและให้อัตราเร่งที่เหนือชั้น โดยนี่เป็นครั้งแรกของรถในตระกูล SL ที่ส่งต่อพละกำลังขับเคลื่อนสู่ล้อทั้งสี่แบบ 4 Matic+ ทั้งหมดทั้งมวล…ส่งให้ Mercedes-AMG SL 55 สามารถทำอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ได้ภายใน 3.9 วินาที และทำความเร็วสูงสุดที่ 294.5 กม./ชม. ส่วนรุ่นใหญ่อย่าง SL 63 อัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ลดเหลือเพียง 3.6 วินาที กับความเร็วสูงสุดขยับเป็น 315 กม./ชม.
เลี้ยว 4 ล้อ พร้อมช่วงล่าง Air Matic เพื่อเสถียรภาพการขับขี่ที่เหนือชั้นมากขึ้น
เลี้ยว 4 ล้อ ทั้ง 2 รุ่น ส่วน SL 63 มาพร้อม Air Matic
ระบบช่วงล่างของ Mercedes-AMG SL 2022 จัดเต็มด้วยชุดกันสะเทือนหน้าแบบ 5 Links ส่วนในด้านหลังมาพร้อมระบบบังคับเลี้ยวทั้งในรุ่น SL 55 และ SL 63 ซึ่งช่วยเติมความคล่องตัวสำหรับการขับขี่ในย่านความเร็วต่ำ (เลี้ยวในทิศทางตรงข้ามกับล้อหน้า) รวมถึงเพิ่มเสถียรภาพของตัวรถเมื่อขับขี่ในย่านความเร็วสูง (เลี้ยวในทิศทางเดียวกับล้อหน้า ที่ความเร็ว 100 กม./ชม. ขึ้นไป) ระบบเบรกมาพร้อมชุดคาลิเปอร์พร้อมจานคาร์บอนเซรามิค สิ่งที่แตกต่างระหว่างทั้ง 2 รุ่นนี้ คือ ใน Mercedes-AMG SL 63 จะมาพร้อมช่วงล่างในรูปแบบ Air Matic Suspension ทำงานร่วมกับระบบ Active Roll Control และคาลิเปอร์เบรกสีเหลือง ส่วนรุ่น SL 55 เป็นโช้กแบบปกติและคาลิเปอร์สีแดง
2+2 ที่นั่ง เบบมีข้อแม้ !
แม้ว่า Mercedes-AMG SL 2022 จะออกแบบมาให้เป็นรถโร๊ดสเตอรืในรูปแบบ 2+2 ที่นั่ง แต่ในความเป็นจริงแล้ว พื้นที่โดยสารด้านหลังนั้น ถือว่าค่อนข้างเล้ก โดยเหมาะกับผู้ที่มีความสูงไม่เกิน 150 ซม. เท่านั้น สิ่งหนึ่งที่น่าจะถูกอกถูกใจสายโร๊ดสเตอร์ตัวจริงก็คือ การออกแบบหลังคา ที่จากเดิมใช้หลังคาแข็งแบบพับไฟฟ้า แต่ในครั้งนี้ Mercedes-AMG SL 2022 มาในรูปแบบหลังคาผ้าใบที่สามารถพับเก็บได้ในเวลาเพียง 15 วินาที (เร็วกว่ารุ่นเดิม 5 วิ.) ที่ความเร็วไม่เกิน 60 กม./ชม. ซึ่งข้อดีของการใช้หลังคาแบบผ้าใบ คือ ช่วยลดจุดศูนย์ถ่วงของตัวรถให้ต่ำลง และยังสามารถลดน้ำหนักลงได้อีก 21 กก. นอกจากนี้ยังทำให้มีพื้นที่เก็บสัมภาระด้านท้ายมากขึ้น โดยทางค่ายเคลมว่า แม้จะเปิดหลังคาแล้ว แต่ Mercedes-AMG SL 2022 ยังสามารถใส่ถุงกอล์ฟท้ายรถ 2 ถุง ได้แบบสบายๆ
แอโร่ไดนามิคส์ชั้นยอด หากไม่พอ…ยังเติมได้อีก
หางหลังยกอัตโนมัติ สปอยเลอร์หน้าถ้าของเดิมยังกดไม่พอ…มีของซิ่งให้เลือก
แอโร่ไดนมิคส์แพคเกจของ Mercedes-AMG SL 2022 ดูแล้วชวนให้นึกถึง AMG GT เวอร์ชั่น 4 ประตู ที่เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา โดยมาพร้อมสปอยเลอร์ที่สามารถปรับความสูงได้อัตโนมัติ 5 ระดับ เพื่อกดท้ายรถให้ติดพื้นในย่านความเร็วที่ต่างกัน ซึ่งหากต้องการบาลานซ์ระหว่างแรงกดด้านหน้าและด้านท้ายให้อยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกัน สามารถเลือกเติมชุดสปอยเลอร์หน้าแบบเดียวกับที่ใช้ในตัวแข่ง (ยาวขึ้น 40 มม.) ที่มีให้เลือกเป็นออพชั่นเสริม โดยสปอยเลอร์หน้าเซ็ตนี้ สามารถสร้างแรงกดเพิ่มได้อีก 50 กก. เมื่อวิ่งด้วยความเร็ว 250 กม./ชม.
ไม่ล้ำเกินไป ไม่เรียบเกินไป เส้นแบ่งที่ลงตัวของ SL Character
MBUX มาเต็ม แต่ใยไม่ใช่ Hyper Screen ?
แม้ว่าโดยรวม Mercedes-AMG SL 2022 ดูจะมีการปรับรายละเอียดแบบ “ชุดใหญ่” แต่หน้าเสียดายที่ชุดหน้าจอยังคงเป็นแบบปกติที่ใช้ ไม่ได้เป็น Hyper Screen เหมือนกับ EQS อย่างที่หลายคนคาดหวัง โดยทางค่ายให้เหตุผลว่าอยากรักษาความคลาสสิคในสไตล์สปอร์ตดั้งเดิมของรถในตระกูล SL เอาไว้ แต่ยังคงใส่ความล้ำสมัยด้วยชุดอินโฟเทนเม้นท์ MBUX เพื่อผสานประสิทธฺภาพในการใช้งานไว้อย่างลงตัว มีเส้นแบ่งระหว่างความเป็นสปอร์ตระดับตำนาน และความสะดวกสบายในความเป็นรถยุคใหม่ได้แบบไม่ขาดไม่เกิน
ขอขอบคุณภาพและข้อมูลจาก CarScoop
