หลังจากที่มาตรการสนับสนุนรถ EV 3.0 จะสิ้นสุดลงในวันที่ 30 ธันวาคมนี้ (จดทะเบียนได้อย่างช้าที่สุด ในวันที่ 31 มกราคม 2567) คณะรัฐมนตรีก็ได้ข้อสรุปในการเคาะมาตรการสนับสนุนการใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้าใหม่ ในชื่อ EV 3.5 โดยเห็นชอบเงินอุดหนุนสำหรับรถยนต์และรถกระบะในรูปแบบ BEV สูงสุด 100,000 บาท/คัน และมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า 10,000 บาท/คัน เพื่อผลักดันประเทศไทยให้กลายเป็นศูนย์กลางในการผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้า โดยมตรการสนับสนุน EV 3.5 จะเริ่มใช้อย่างเป็นทางการในวันที่ 2 มกราคม 2567
ด้วยเงื่อนไขของมาตรการสนับสนุน EV 3.5 ที่เปลี่ยนแปลงจากมาตรการสนับสนุน EV 3.0 อาจส่งผลให้ราคาของรถ BEV มีการเปลี่ยนแปลงไปตามเงื่อนไข เริ่มตั้งแต่ ส่วนต่างของเงินสนับสนุนจากภาครัฐ ที่เดิมอยู่ที่ 150,000 บาท ลดลงมาเหลือสูงสุดที่ 100,000 บาท (ในปีแรก หรือ ปี 2567 สำหรับรถที่ความจุแบตเตอรี่ 50 kWh ขึ้นไป) อีกทั้งยังลดหลั่นไปตามช่วงเวลาของมาตรการ, ขนาดของแบตเตอรี่, ราคา รวมถึงประเภทของรถ ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้
ส่วนลดสำหรับรถยนต์ BEV ในมาตรการ EV 3.5
มาตรการสนับสนุน EV 3.5 | รถยนต์ราคาไม่เกิน 2 ล้านบาท (แบตเตอรี่ 10-50 kWh) | รถยนต์ราคาไม่เกิน 2 ล้านบาท (แบตเตอรี่ 50 kWh ขึ้นไป) | รถยนต์ราคา 2-7 ล้านบาท (แบตเตอรี่ 50 kWh ขึ้นไป) |
ส่วนลดสนับสนุน | ปีที่ 1 = 50,000 บาท ปีที่ 2 = 35,000 บาท ปีที่ 3-4 = 25,000 บาท | ปีที่ 1 = 100,000 บาท ปีที่ 2 = 75,000 บาท ปีที่ 3-4 = 50,000 บาท | – |
ส่วนลดในการนำเข้า | ลดอาการนำเข้าไม่เกิน 40% | ลดอาการนำเข้าไม่เกิน 40% | – |
ส่วนลดทางภาษี | ลดภาษีสรรพสามิตรจาก 8% เหลือ 2% | ลดภาษีสรรพสามิตรจาก 8% เหลือ 2% | ลดภาษีสรรพสามิตรจาก 8% เหลือ 2% |
*อัตราส่วนการผลิตคืนจากการนำเข้า คือ 1:2 สำหรับการผลิตชดเชยภายในปี 2569 และ 1:3 สำหรับการผลิตชดเชยในปี 2570
ส่วนลดสำหรับรถกระบะและมอเตอร์ไซค์ BEV ในมาตรการ EV 3.5
มาตรการสนับสนุน EV 3.5 | รถกระบะราคาไม่เกิน 2 ล้านบาท (แบตเตอรี่ 50 kWh ขึ้นไป) | มอเตอร์ไซค์ราคาไม่เกิน 1.5 แสนบาท (แบตเตอรี่ 3 kWh ขึ้นไป) |
ส่วนลดสนับสนุน | 100,000 บาท | 10,000 บาท |
* เป็นส่วนลดสนับสนุนตลอดระยะเวลา 4 ปี เฉพาะส่วนที่ผลิตในประเทศ
จากรายละเอียดดังกล่าว หากนำมาคำนวนจากราคารถ EV ที่ทำตลาดอยู่ใมนบ้านเรา ณ ปัจจุบัน จะพบว่า ในแต่ละรุ่นนั้น เมื่อเข้าสู่มาตรการสนับสนุน EV 3.5 จะมีระดับราคาที่แตกต่างกับปัจจุบัน ซึ่งเพื่อให้พอเห็นภาพ งานนี้ #ทีมขับซ่า จะขอยกตัวอย่าง การปรับราคาของรถ EV 10 รุ่นชั้นนำในตลาดประเทศไทย พร้อมเปรียบเทียบให้เห็นว่า เมื่อมีการปรับมาตรการสนับสนุนแล้ว ตัวรถรุ่นนั้นๆ ในปีแรกของมาตรการสนับสนุน EV 3.5 จะมีการปรับราคาสูงขึ้นมากหรือน้อยขนาดไหน ?
คาดการณ์ราคาของรถ BEV 10 รุ่นชั้นนำ หลังเข้าสู่มาตรการสนับสนุน EV 3.5
ประเด็นสำคัญของการปรับราคาของรถ EV ภายใต้มาตรการสนับสนุน EV 3.5 คือ การกำหนดส่วนลดตามขนาดความจุของแบตเตอรี่ใหม่ จากเดิมแบตเตอรี่ที่มีความจุเกิน 30 kWh จะได้รับส่วนลดสนับสนุนเต็ม 150,000 บาท แต่สำหรับ มาตรการสนับสนุน EV 3.5 หากต้องการรับส่วนลดเต็ม 100,000 บาท รถคันนั้นๆ จะต้องมีขนาดความจุขแงแบตเตอรี่ตั้งแต่ 50 kWh ขึ้นไป ทำให้รถบางรุ่นที่เคยเข้ามาตรฐานเดิม เช่น Neta V (แบตเตอรี่ 40.7 kWh), BYD Dolphin Standard (44.9 kWh) จะต้องถูกปรับส่วนลด เพื่อให้ตรงกับเงื่อนไขการสนับสนุนด้วย นั่นจึงเป็นผลให้ ราคาคาดการณ์ของรถ EV ที่มีแบตเตอรี่ความจุต่ำกว่า 50 kWh ทั้งหมด จะมีราคาที่ปรับเพิ่มขึ้นประมาณ 100,000 บาท ส่วนรถที่มีความจุแบตเตอรี่เกินกว่า 50 kWh นั้น คาดว่าระดับราคาจะถูกปรับขึ้นจากเดิมรุ่นละ 50,000 บาท โดยทั้งนี้ทั้งนั้น การปรับราคาดังกล่าว เป็นเพียงการคาดการณ์โดย #ทีมขับซ่า ซึ่งคงต้องรอดูว่า เมื่อถึงเวลานั้นแล้ว ค่ายรถแบรนด์ต่างๆ จะมีการปรับราคารถในค่ายมากน้อยขนาดไหน ?
ขับรถ EV ต้องรู้ ! ค่า FT ปี 2567 ที่ปรับเพิ่มขึ้น ค่าใช้จ่ายต่อ กม. แพงขึ้นขนาดไหน ?