เจาะรายละเอียด BYD Dolphin vs. Ora Good Cat 400 Pro ดูให้เลือกได้ง่าย ก่อนตัดสินใจจอง

จะเรียกว่าเป็นคู่ที่ถูกพูดถึงและนำมาเปรียบเทียบกันมากที่สุด ณ เวลานี้ ก็ว่าได้ โดยหลังจากที่ทางค่าย BYD ได้ประกาศเปิดตัวรถ EV น้องเล็กอย่าง BYD Dolphin พร้อมประกาศราคาคาดการณ์ไปเป็นที่เรียบร้อย นั่นทำให้เกิดกระแสและข้อถกเถียงของผู้ที่กำลังมองหารถยนต์พลังงานไฟฟ้าที่มีขนาดกะทัดรัดมาไว้ใช้งาน โดยประเด็นที่ถูกนำมาเปรียบเทียบมากที่สุด คงหนีไม่พ้นเรื่องความคุ้มค่า ซึ่งเมื่อเทียบระดับราคาคาดการณ์ของ BYD Dolphin ที่ประกาศออกมาแล้ว ถือว่าใกล้เคียงกับคู่แข่งร่วมชาติอย่าง Ora Good Cat 400 Pro มากเลยทีเดียว

BYD Dolphin ราคาคาดการณ์ 799,999 บาท

Ora Good Cat 400 Pro ราคา 828,500 บาท

เมื่อรายละเอียด รวมถึงระดับราคาของทั้ง BYD Dolphin และ Ora Good Cat 400 Pro ออกมาแบบสูสีกันขนาดนี้ เป็นที่มาที่ #ทีมขับซ่า จะต้องพาทุกท่านมาลงลึกในรายละเอียด เพื่อให้ผู้ที่กำลังมองหารถไฟฟ้าขนาดคอมแพคมาใช้งาน ได้เลือกรถที่ออกแบบและให้ออพชั่นการใช้งานมาได้ตรงจุดมากยิ่งขึ้น เริ่มตั้งแต่เรื่องของมิติตัวถัง ก่อนอื่น…จุดสำคัญที่ต้องทำความเร้าใจ คือ ความรู้สึกที่หลายคนมักจะมองว่า BYD Dolphin เป็นรถที่มีขนาดเล็ก แต่ในความเป็นจริงแล้ว ตัวรถมีความเป็นคอมแพ็คแฮทช์แบคอย่างเต็มตัว (ไม่ใช่ซับคอมแพคแบบที่หลายคนเข้าใจ) ด้วยขนาดมิติตัวถัง ซึ่งดูแล้ว มีขนาดที่ใหญ่กว่า Ora Good Cat 400 Pro ในบางจุดเสียอีก โดยเฉพาะเรื่องของระยะฐานล้อ ที่มีความยาวมากกว่าถึง 50 มม. ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อพื้นที่ภายในห้องโดยสาร นอกจากนี้…สิ่งสำคัญสุดๆ ที่คนที่กำลังมองรถยนต์พลังงานไฟฟ้า หรือ รถ EV ยังคงเป็นกังวลก็คือ การออกแบบแพลตฟอร์ม ตรงจุดนี้หากว่ากันตามเนื้อผ้า e-Platform 3.0 ของ BYD Dolphin ที่ออกแบบมาเพื่อเป็นรถไฟฟ้าโดยเฉพาะ ดูจะได้เปรียบอยู่หลายช่วงตัว โดยเฉพาะเรื่องการวางตำแหน่งของชุดแพคแบตเตอรี่ ซึ่งอยู่ภายในโครงสร้างตัวถัง ส่งผลโดยตรงต่อเรื่องความปลอดภัย รวมถึงโอกาสการเกิดความเสียหายในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน นอกจากนี้แล้ว หากสังเกตในเรื่องพื้นที่ใช้สอยภายในรถ BYD Dolphin ยังออกแบบให้มีพื้นที่การจัดวางสัมภาระที่มากกว่า โดยมีความจุถึง 345 ลิตร และจะเพิ่มเป็น 1,310 ลิตร เมื่อพับเบาะ ในขณะที่ Ora Good Cat 400 Pro หรือแม่แต่รุ่นย่อยที่มีราคาสูงกว่านี้ ยังคงทำได้สูงสุดที่ 858 ลิตร เมื่อพับเบาะ

เทียบมิติตัวถัง BYD Dolphin vs. Ora Good Cat 400 Pro

สิ่งที่ทำให้สเป็คของ BYD Dolphin กลายเป็นที่ถกเถียงกันมากที่สุด คงหนีไม่พ้น รถที่เปิดตัวมาเป็นรุ่นย่อยสแตนดาร์ด ซึ่งมอเตอร์มีกำลังขับเคลื่อนอยู่ที่ 94 แรงม้า พร้อมกับแรงบิด 180 นิวตัน-เมตร มองจากตัวเลขแรงบิดแล้ว โดยรวมไม่ถือว่าแย่ เพราะ 180 นิวตัน-เมตร ในความเป็นจริง หากเปรียบเทียบกับเครื่องยนต์สันดาปทั่วๆ ไป คือ ต้องมีความจุอยู่ในระดับ 1,800 ซีซี. ถึงจะทำได้ใกล้เคียง แต่หากเทียบกับกลุ่มรถที่ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าด้วยกัน อาจจะกลายเป็นตัวเลขที่ไม่สูง จนส่งให้ BYD Dolphin ถูกนำไปเปรียบเทียบกับรถ EV ในกลุ่มที่ไม่ตรงกับวัตถุประสงค์การออกแบบและใช้งาน (ซึ่งก็คงไม่ผิด…หากมองแค่ตัวเลขพละกำลังเพียงอย่างเดียว โดยไม่คิดถึงองประกอบอื่นๆ ที่ใส่มาให้) แต่สุดท้ายแล้ว การใช้งานรถหนึ่งคันนั้น มีปัจจัยหลายอย่างที่อาจจะต้องทำความเข้าใจในการเปรียบเทียบ แต่หากว่าในหัวข้อนี้ที่วัดกันด้วยเรื่อง “ตัวเลข” สมรรถนะเพียงอย่างเดียว Ora Good Cat 400 Pro เอาไปกินแบบไม่ทิ้งข้อสงสัย

e-Platform 3.0 ใน BYD Dolphin

GWM Lemon Platform

เทียบระบบส่งกำลังและระดับสมรรถนะ BYD Dolphin vs. Ora Good Cat 400 Pro

ปัจจัยที่ทำให้ทั้ง ดูเป็นรถที่มีความใกล้เคียงกันอีกข้อหนึ่งก็คือ ขนาดของชุดแพคแบตเตอรี่ ซึ่งแทบจะไม่ต่างกัน ทั้งในเรื่องความจุ รวมถึงสเป็คที่รองรับการเดินทางต่อชาร์จ แต่สิ่งที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน คงหนีไม่พ้น เทคโนโลยีการออกแบบ ซึ่ง BYD มาในรูปแบบเฉพาะตัวที่เรียกว่า BYD Blade Battery มีจุดเด่นในเรื่องเสถียรภาพการควบคุมอุณหภูมิ ด้วยการใช้อุปกรณ์ลักษณะเดียวกับแผงแอร์เป็นตัวช่วยในการระบายความร้อนให้กับชุดแพคแบตเตอรี่ ซึ่งด้วยลักษณะของเซลล์แบตเตอรี่ที่มาในรูปแบบใบมีด ทำให้มีพื้นที่หน้าสัมผัสในการแลกเปลี่ยนอุณหภูมิได้ดีกว่าแบตเตอรี่ที่มีลักษณะเป็นก้อน (โมดูล) อีกทั้งเรื่องของความปลอดภัย ยังเป็นคุณสมบัติเด่นของเทคโนโลยี BYD Blade Battery ซึ่งหากมีการกระแทกอย่างรุนแรง หรือถูกเจาะทะลุ ตัวแบตเตอรี่จะไม่มีการระเบิด เนื่องจากอุณหภูมิของตัวแบตเตอรี่ จะเพิ่มขึ้นเพียง 60 องศาเซลเซียส เท่านั้น (แบตเตอรี่แบบก้อนทั่วไป หากถูกเจาะทะลุ อุณหภูมิจะสูงขึ้นในระดับ 800 หรือกว่า 1,000 องศาเซลเซียส) ฟันธงสเป็คในหัวข้อนี้ คือ สูสี แต่เรื่องเทคโนโลยีการผลิต…ชั่วโมงนี้ Blade Battery กินขาดทุกสถาบัน

BYD Blade Battery เบอร์ต้นๆ ของเทคโนโลยีแบตเตอรี่ของรถ EV ยุคปัจจุบัน

แบตเตอรี่ของ Ora Good Cat มาในลักษณะโมดูล ซึ่งด้วยความสูงของตัวแบตฯ อาจส่งผลต่อประสิทธิภาพการระบายความร้อน รวมถึงพื้นที่ภายในห้องโดยสาร

เทียบระยะการเดินทางและประสิทธิภาพการชาร์จ BYD Dolphin vs. Ora Good Cat 400 Pro

รถที่นำเข้าจากประเทศจีน มีจุดเด่นในเรื่องออพชั่นและสิ่งอำนวยความสะดวก จนเป็นปัจจัยที่ผลักดันให้รถจากฝั่งญี่ปุ่นต้องพัฒนาสิ่งเหล่านี้ เพื่อขยับตัวเองตามไปด้วย เช่นเดียวกัน ทั้ง BYD Dolphin และ Ora Good Cat 400 Pro แม้จะเป็นรุ่นเริ่มต้น ที่วางระดับราคาไว้ไม่สูงมากนัก แต่กลับมีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกมาให้อย่างครบครัน โดยเฉพาะทางฝั่ง Ora Good Cat 400 Pro ที่มาพร้อมหลังคาพาโนรามิคซันรูฟ ที่ช่วยยกระดับภาพลักษณ์ของตัวรถให้มีความหรูหรามากขึ้น นอกจากนี้ยังมาพร้อมเบาะนั่งปรับไฟฟ้า 6 ทิศทาง สำหรับผู้ขับขี่ รวมถึงชุดไวร์เลสชาร์จเจอร์ ที่ BYD Dolphin รุ่นทริมที่ทำตลาดในบ้านเราไม่ได้ติดตั้งมาให้ (เป็นเพียงลักษณะถาดวางของ) แต่สิ่งที่ฝ่ายหลังเหนือกว่าค่อนข้างชัด คือ หน้าจออินโฟเทนเม้นท์ 12.8 นิ้ว ที่สามารถปรับทิศทางการแสดงผลได้, พวงมาลัยปรับ 4 ทิศทาง, ที่ปัดน้ำฝนด้านหลัง, ช่อง USB แบบ Type C รวมถึงระบบ NFC Key Card ที่สามารถเปิดเข้ารถได้ง่ายมากขึ้น

เทียบอุปกรณ์และออพชั่นอำนวยความสะดวก BYD Dolphin vs. Ora Good Cat 400 Pro

นอกจากเรื่องออพชั่นแล้ว เรื่องระบบความปลอดภัยในการขับขี่ก็เช่นกัน ทั้งคู่ถือว่าให้ความปลอดภัยพื้นฐาน (หรือเหนือกว่า) มาอย่างครบครัน รองรับการใช้งานจริงได้แบบไม่ได้รู้สึกว่าต้องการฟังค์ชั่นใดๆ เพิ่มจากนี้ โดยเฉพาะฝั่ง BYD Dolphin ที่ถูกด้อยค่าเรื่องสมรรถนะ ด้วยความเป็นรุ่น Standard Spec กลับมาจัดเต็มอีกครั้งในห้วข้อความใส่ใจต่อผู้ร่วมเดินทาง เริ่มตั้งแต่การให้ถุงลมนิรภัยรอบคัน 6 ตำแหน่ง, ระบบเตือนก่อนเปิดประตู, กล้องมองภาพ 360 องศา แต่ที่เป็นไฮไลท์จริงๆ คงหนีไม่พ้นระบบช่วยเหลือการขับขี่ขั้นสูง Advance Driving Assist Syatem (ADAS) จัดเต็มในระดับเดียวกับที่รุ่นพื่อย่าง BYD Atto 3 หรือแม้แต่ Ora Good Cat 500 Ultra มีให้ ซึ่งตัวช่วยเหล่านี้ จะช่วยเติมเต็มความสะดวกสบาย รวมถึงเพิ่มความปลอดภัยในการขับขี่ขึ้นไปได้อีกขั้น วัดกันในหัวข้อนี้…BYD Dolphin ดูจะยังได้เปรียบอยู่พอตัว แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น Ora Good Cat ก็ยังคงไว้เนื้อเชื่อใจได้ ด้วยความเป็นรถจากประเทศจีนที่ได้การยอมรับในระดับที่สามารถคว้าคะแนนความปลอดภัย Euro NCAP ระดับ 5 ดาว มาแล้ว

โครงสร้างนิรภัย BYD Dolphine

เด่นมากกับการผ่านมาตรฐานความปลอดภัย Euro NCAP 5 ดาว ของ Ora Good Cat

เทียบระบบความปลอดภัย BYD Dolphin vs. Ora Good Cat 400 Pro

จะว่าเป็น “ความโชคร้าย บนความโชคดี” ก็ว่าได้ เมื่อรัฐบาลประกาศสนันสนุนการใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้า โดยมอบส่วนลด 150,000 บาท ต่อคัน รวมถึงปรับอัตราภาษีสรรพสามิต จาก 8 เหลือ 2% นั่นจึงทำให้ราคาของรถ EV ที่เข้าเงื่อนไข ถูกปรับลดลงมาในระดับกว่า 200,000 บาท แต่ในขณะเดียวกันนั้นเอง ด้วยต้นทุนในการจัดหาอุปกรณ์ต่างๆ ที่มีความต้องการเพิ่มขึ้นทั่วโลก ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้าเพิ่มสูงขึ้นในระยะเวลาอันสั้น ราคาของรถเหล่านี้จึงมีการขยับตัวกว่าในยุคแรกที่เริ่มทำตลาดไปพอสมควร โดยความโชคดีของลูกค้าที่กำลังมอง Ora Good Cat 400 Pro คือ การได้ใช้รถในระดับราคาบนพื้นฐานความเป็นจริง (เป็นราคาที่หักส่วนลด จากราคาตั้งต้นเดิม ก่อนที่จะมีการปรับขึ้นหลังเกิดปัญหาราคาต้นทุน…หรืออื่นๆ) แต่สำหรับ BYD Dolphin เป็นราคาที่ถูกเซ็ตขึ้นใหม่ หลังจากที่มีการปรับมาตรฐานระดับราคาใหม่ (ซึ่งเป็นราคาที่มีการปรับขึ้นในผู้ผลิตทุกค่าย ไม่เว้นแม้แต่ Ora Good Cat GT ที่มีราคาต่างจาก Ora Good Cat 500 Ultra กว่า 3 แสนบาท ทั้งๆ ที่รายละเอียดตัวรถ มีความใกล้เคียงกันมาก) ทำให้ส่วนลดจากการช่วยเหลือ ดูจะขาดน้ำหนักไปพอสมควร (แต่หากวัดจากออพชั่นที่ได้ รวมถึงขนาดและพิกัดตัวรถที่อ้างอิงจากตัวเลข) เอาเรื่องความคุ้มค่าในหัวข้อนี้ ซื้อรถที่ตั้งราคาก่อน (มีเงื่อนไขส่วนลดออกมา)…ได้เปรียบและไม่รู้สึกคาใจดี

เทียบระดับราคา BYD Dolphin vs. Ora Good Cat 400 Pro

ทั้งนี้ทั้งนั้น รถ EV ในระดับราคา 8 แสน บวกลบ การได้รถที่ก้าวเข้าสู่มาตรฐานใหม่ของวงการ เป็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้าที่ลดการปล่อยมลพิษได้มาก อีกทั้งยังได้ความพิถีพิถัน สัมผัสการออกแบบและจัดวางออพชั่นภายในห้องโดยสาร รวมถึงระบบความปลอดภันที่ครบครันในทั้ง BYD Dolphin และ Ora Good Cat 400 Pro ดูจะไม่ใช่ระดับราคาที่เกินความเป็นจริง ส่วนหากจะต้องฟันธงว่าควรจะเลือกคันไหน นอกจากรายละเอียดในสเป็คที่ #ทีมขับซ่า ได้เจาะรายละเอียดเพื่อให้เห็นภาพในแต่ละหัวข้อไปแล้ว อยู่ที่รสนิยม มุมมองในดีไซน์ รวมถึงสัมผัสส่วนตัวของผู้ใช้ ลองแล้วถูกใจคันไหนมากกว่า แต่ว่าก็ว่าเถอะ “คันไหนก็คุ้ม” ซึ่งในท้ายที่สุดก็ต้องอย่าลืมว่า หากคุณเน้นเรื่องความสนุกเป็นสำคัญ โดยไม่สนออพชั่นระดับสูงใดๆ ทั้งสิ้น สำหรับรถ EV ในระดับราคาใกล้เคียงกันนี้ ยังมีหอกข้างแคร่อย่าง MG 4 Electric ในรุ่น D (ราคา 869,000 บาท) พร้อมจะเป็นตาอยู่แย่งส่วนแบ่งการตลาดไปด้วยเช่นกัน !!!