หลังจากการเปิดตัวของ Toyota Corolla Cross รุ่นปี 2024 ที่ทางค่ายจัดออพชั่นให้แบบแน่นๆ ในราคาเท่าเดิม ยิ่งเป็นตัวเพิ่มดีกรีความร้อนแรงในตลาด B-Segment SUV ขึ้นอีกเลเวล โดยเฉพาะในรุ่นท็อปอย่าง HEV Premium Luxury ที่ดูจะเป็นรุ่นย่อยที่ได้รับการจับตามิงเป็นพิเศษ ด้วยระดับสมรรถนะและความประหยัดที่น่าประทับใจ ให้ออพชั่นอำนวยความสะดวก รวมถึงระบบความปลอดภัยมาให้แบบครบครัน อีกทั้งยังมีราคาป้านเปี้ยนอยู่ในระดับ 1.2 ล้านบาท ซึ่งใกล้เคียงกับคู่แข่งสำคัญในตลาด ณ ปัจจุบัน
Toyota Corolla Cross HEV Premium Luxury ราคา 1,204,000 บาท
BYD Atto 3 Extended Range ราคา 1,199,900 บาท
Honda HR-V e:HEV RS ราคา 1,179,000 บาท
เพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจนมากขึ้น สำหรับคนที่ต้องการจะเลือกซื้อรถอเนกประสงค์ โดยวางงบประมาณไว้ที่ 1.2 ล้านบาท ครั้งนี้ #ทีมขับซ่า จึงขอยกตัวอย่างรถในพิกัด B-Segment SUV ที่มีพิกัด องประกอบ รวมถึงระดับราคาที่ใกล้เคียงกัน มาเปรียบเทียบในแต่ละหัวข้อ เพื่อให้เห็นถึงความแตกต่างในแต่ละองประกอบ เพื่อการตัดสินใจที่ง่ายมากขึ้น โดยรถที่จะนำมาเปรียบเทียบนั้น เป็น 3 รุ่น ที่ได้รับความนิยมสูงสุดในตลาด ณ ปัจจุบัน ประกอบไปด้วย Toyota Corolla Cross รุ่นย่อย HEV Premium Luxury ราคา 1,204,000 บาท, BYD Atto 3 รุ่นย่อย Extended Range ราคา 1,199,900 บาท และ Honda HR-V e:HEV รุ่นย่อย RS ราคา 1,179,000 บาท
วัดกันด้วยพื้นฐานด้านสรีระ ความได้เปรียบของทั้ง Toyota Corolla Cross และ BYD Atto 3 อยู่ที่การเป็นรถที่คร่อมคลาสอยู่ระหว่างความเป็น B – C Segment SUV นั่นจึงทำให้มิติตัวรถของทั้งคู่ มีขนาดที่ใหญ่กว่ารถอเนกประสงค์พิกัดคอมแพคท์แท้ๆ อย่าง Honda HR-V e:HEV อยู่พอสมควร แต่หากพิจารณาจากระยะฐานล้อที่ส่งผลต่อพื้นที่ภายในห้องโดยสาร จะพบว่า ฐานล้อของทั้ง Toyota Corolla Cross และ Honda HR-V e:HEV มีความต่างอยู่เพียง 30 มม. เท่านั้น นั่นจึงหมายความว่า แม้ HR-V จะเป็นรถที่ขนาดภายนอกดูกะทัดรัด แต่ภายในห้องโดยสารก็มีความกว้างขวางและจัดการพื้นที่ใช้สอยได้อย่างเหมาะสม ไม่เป็นรองคู่แข่งมากนัก (และเป็นคันที่มีระยะต่ำสุดจากพื้นสูงที่สุดในคลาสถึง 195 มม.) จะมีคันที่ต่างมากจริงๆ คือ BYD Atto 3 ที่มีระยะฐานล้อยาวกว่าคู่แข่งอยู่ถึง 80 และ 110 มม. ตามลำดับ ด้วยความที่ออกแบบแพลตฟอร์มแบบโมดูลาร์สเกลเอเบิลที่ออกแบบมาสำหรับรถไฟฟ้าโดยเฉพาะ นั่นจึงทำให้การวางระยะฐานล้อ เพื่อกำหนดพื้นที่ภายในห้องโดยสาร ทำได้อย่างอิสระมากกว่าแพลตฟอร์มแบบดั้งเดิม ที่เน้นการใช้งานกับขุมพลังหลากหลายรูปแบบ ซึ่งต้องดีไซน์เผื่อทั้ง ICE, Hybrid รวมถึง BEV นั่งจึงเป็นเหตุให้มีข้อจำกัดในการออกแบบที่สูงกว่าตามไปด้วย
ในเรื่องพละกำลัง…แม้ว่าในยุคนี้ รถในรูปแบบ BEV ดูจะได้เปรียบเรื่องตัวเลขแรงม้า การตอบสนองของแรงบิด รวมถึงค่าใช้จ่ายในการเดินทางต่อ กม. ที่ต่ำกว่าในทุกๆ รูปแบบและสถานที่ในการชาร์จไฟ แต่หากคุณเป็นคนหนึ่งที่ต้องการความสะดวกในการใช้งาน โดยที่ไม่ต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรม วางแผน หรือใช้เวลาไปกับการเติมพลังงาน รถยนต์ในรูปแบบไฮบริดที่มีอัตราสิ้นเปลืองในสภาพการใช่งานจริงเกินกว่า 20 กม./ลิตร ก็ดูจะเป็นคำตอบที่ “สร้างแรงดึงดูด” ได้มากพอแล้ว แต่สิ่งที่เป็นปัจจัยที่ถูกนำมาบวกลบในหัวข้อสมรรถนะ คงหนีไม่พ้นเรื่องพื้นฐานการออกแบบช่วงล่าง โดยทั้ง Toyota Corolla Cross และ Honda HR-V e:HEV ใช้เซ็ตช่วงล่างหลังในรูปแบบทอร์ชั่นบีน ซึ่งสำหรับการขับขี่ทั่วไป ให้การทรงตัวที่มีประสิทธิภาพและความมั่นคงสูง มีชิ้นส่วนที่ต้องดูแลรักษาต่ำกว่า แต่หากยังเป็นรองเรื่องความนุ่มนวล เมื่อเทียบกับระบบช่วงล่างแบบมัลติลิ้งค์ใน BYD Atto 3 ซึ่งให้ฟีลลิ่งที่แตกต่างกับคู่แข่งอย่างชัดเจน
คำตอบทั้งหมดในเรื่องพละกำลัง จะถูกชี้วัดด้วยตัวเลขอัตราเร่ง ซึ่งหากไม่นับข้อจำกัดในเรื่องระยะการเดินทาง BYD Atto 3 ให้อัตราเร่งที่ดีที่สุดสำหรับรถในกลุ่ม B-Segment SUV (รวมถึงคู่แข่งกลุ่มเดียวกันในงบ +- 1 ล้านบาท) ส่วนสำหรับ Honda HR-V e:HEV และ Toyota Corolla Cross ในรุ่นเครื่องยนต์ไฮบริดนั้น ให้ตัวเลขออกมาใกล้เคียงกันมาก ตั้งแต่ในช่วงออกตัว, ความเร็วจาก 0-100 กม./ชม. รวมถึงอัตราเร่งแซงในช่วงความเร็วต่างๆ แม้ว่าทั้งคู่จะใช้ระบบไฮบริดที่มีพื้นฐานต่างกันโดยสิ้นเชิง (Honda HR-V e:HEV มีพื้นฐานหลักในรูปแบบ Series Hybrid ซึ่งใช้เครื่องยนต์เป็นตัวปั่นไฟจ่ายให้กับมอเตอร์ขับเคลื่อน โดยในย่านความเร็วสูงคงที่ ตัวเครื่องยนต์จะรับหน้าที่เป็นตัวขับเคลื่อนแทน จากการส่งกำลังตรงจากรอบการหมุนของเครื่องยนต์สู่ล้อขับเคลื่อนโดยไม่ผ่านชุดเกียร์ ส่วน Toyota Corolla Cross ใช้ระบบไฮบริดในรูปแบบ Parallel Hybrid เครื่องยนต์ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าผ่านชุดเกียร์ E-CVT เพื่อปรับรอบการทำงานในแต่ละย่านความเร็วอย่างเหมาะสม)
หากว่ากันด้วยเรื่องออพชั่นและสิ่งอำนวยความสะดวกภายในห้องโดยสาร จะว่ากันตามตรงมันเป็นเรื่องของ “ยุคสมัย” จริงอยู่ที่ในยุคก่อนๆ รถยนต์จากฝั่งจีน เน้นการให้ออพชั่นมาแบบ “ล้นคัน” ในค่าตัวที่สามารถจับต้องได้ ซึ่งเหนือกว่ารถจากฝั่งญี่ปุ่น โดยเฉพาะกับแบรนด์เจ้าตลาดอย่างชัดเจน แต่สำหรับในยุคปัจจุบัน Toyota ถือเป็นหนึ่งในแบรนด์ที่สามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงตรงนี้ได้ดี โดยพยายามใส่ลุกเล่นอำนวยความสะดวกเข้ามาในรถรุ่นใหม่ๆ เพื่อให้ใกล้เคียงกับความต้องการของตลาดในยุคนี้ การกลับมาของ Toyota Corolla Cross รุ่นปี 2024 ก็เช่นกัน การใส่ออพชั่นให้มีความใกล้เคียง (หรือสูงกว่า) BYD Atto 3 ถือว่าสร้างแรงกระเพื่อมให้กับวงการ B-Segment SUV ที่มีการแข่งขันกันสูงที่สุดในบ้านเราเป็นอย่างมาก ในจุดนี้เอง…อาจทำให้คู่แข่งที่เคยฮอตจนมี Back Order ข้ามปี ในอดีตอย่าง Honda HR-V e:HEV อยู่ลำบาก เพราะหากเทียบกับแบบตรงไปตรงมาแล้ว หลายองประกอบถือว่าเป็นรองคู่แข่งอีก 2 แบรนด์ แบบค่อนข้างชัดเจน
ในทำนองเดียวกัน…ระบบความปลอดภัยของ Toyota Corolla Cross รุ่นปี 2024 ได่รับการอัพเกรดขึ้นมาหลายๆ องประกอบ (แม้ในรุ่นเริ่มต้นที่ราคาต่ำกว่า 1 ล้านบาท เองก็ตาม) อยู่ในจุดที่สามารถแข่งขันกับ BYD Atto 3 ได้อย่างสมน้ำสมเนื้อ (แน่นอนว่า…บางอย่างก็เหนือกว่าตามยุคสมัย) เป็นอาวุธที่ช่วยส่งให้ Toyota Corolla Cross แข่งขันในตลาด B-Segment SUV ที่มีความเข้มข้นสูงได้อย่างสนุกมือ ซึ่งคนที่จะได้รับประโยชน์ไปเต็มๆ คงหนีไม่พ้นบรรดาผู้บริโภคที่จะได้ประโยชน์จากออพชั่นรวมถึงระบบความปลอดภัย รวมถึงความสดใหม่ในการใช้งาน ในระดับราคาที่ไม่ต้องจ่ายเพิ่ม ซึ่งจากการเปรียบเทียบรายละเอียดต่างๆ ของ #ทีมขับซ่า ในครั้งนี้ ก็คงจะพอจะทำให้เห็นภาพ และสามารถตัดสินใจจะเลือกซื้อรถ B-Segment SUV ในระดับราคา +- 1.2 ล้านบาท ได้ง่ายมากขึ้น
