ท่ามกลางฤดูร้อนสุดระอุของทุกปี สิ่งที่พอจะมาช่วยลดดีกรีองศา..เติมความชุ่มฉ่ำให้บ้าง บางคนอาจเรียก ”ฝนหลงฤดู” แต่แท้จริงคือพายุฤดูร้อนที่มักมาเยือนในช่วงเริ่มเปลี่ยนเข้าสู่ฤดูร้อนอย่างเต็มรูปแบบทำให้ผู้ใช้รถในหลายพื้นที่ต้องเจอฝนอยางหนักแบบไม่ทันตั้งตัวระบบปัดน้ำฝนนับเป็นอุปกรณ์สำคัญในรถยนต์ทำหน้าที่ช่วยเพิ่มทัศนวิสัยในการมองเห็นขณะฝนตกด้วยการปัดไล่น้ำฝนออกไปจากกระจกบังลมหน้าหลักการไม่มีอะไรยุ่งยากซับซ้อนเพียงแค่ใช้ใบปัดน้ำฝนที่ทำจากยางปาดน้ำออกไปจากผิวกระจกเท่านั้นดังนั้นการดูแลรักษาจึงเป็นเรื่องง่ายๆแต่เชื่อมั้ยว่าหากมีการเปิดประเด็นก็ยังเกิดความคิดต่างให้ถกเถียงกันได้มาดูกันเป็นข้อๆ
จอดรถตากแดด ยางปัดน้ำฝนเสียเร็วจริงมั้ย ?
แน่นอนแดดที่ร้อนระอุจะทำให้ “ยาง” ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญของใบปัดน้ำฝนเสื่อมสภาพก่อนเวลาอันสมควร เพราะเมื่อรถจอดตากแดดเป็นเวลานานๆ กระจกบังลมหน้าและหลัง จะเปรียบเสมือนอุปกรณ์รับพลังงานความร้อนขนาดใหญ่ (Solar Collector) ความร้อนสะสมจะมากขึ้นเรื่อยๆ ได้มีทีมเก็บข้อมูลตรวจสอบด้วยเครื่องวัดอุณหภูมิ โดยใช้สายเทอร์โมคับเปิ้ล (สำหรับวัดอุณหภูมิที่จุดใดจุดหนึ่ง) แปะด้วยสก๊อตเทปลงไปตรงๆ ที่ผิวกระจก แล้วใช้ Data Logger (เครื่องมืออ่านและบันทึกระดับอุณหภูมิ) อ่านค่าอุณหภูมิได้สูงสุดถึง 80-90ºC สูงกว่าที่เราคาดคิดมาก แต่ยางปัดน้ำฝนของแท้ติดรถ มาตรฐานจากโรงงาน ได้ออกแบบมาเผื่อสำหรับรับมือกับอุณหภูมิระดับนี้ โดยให้คงสภาพการใช้งานได้อย่างน้อย 1 ปี โดยไม่ต้องสรรหาวิธีใดๆ มาพยายามยืดอายุของมัน
ยกขาใบปัดน้ำฝนขึ้นจะช่วยยึดอายุการใช้งาน ของยางใบปัด ?
ถ้ามองเฉพาะยางใบปัด… นับเป็นวิธีที่ถูกต้องแล้ว เพราะผิวกระจกมันร้อนซะขนาดนั้น ยางใบปัดแนบอยู่ ต้องแห้งกรอบหมดแน่ๆ แต่คุณรู้หรือไม่ว่ายางใบปัดแนบชิดติดกับผิวกระจกได้ด้วยอะไร คำตอบก็คือ “สปริง” (ซ่อนอยู่ภายในก้านปัด) สปริงขดจะรั้งก้านปัดให้เอนเข้าหากระจกตลอดเวลา การง้างยกขาใบปัดน้ำฝนขึ้น จะเป็นการบังคับให้สปริง “ยืดตัว” ออก ซึ่งถ้าเราดึงสปริงให้ยืดตัวออกเป็นเวลานานๆ แบบจอดกลางแจ้งประจำ ยกกันทุกวัน สปริงนั้นก็จะ “ล้า” และสูญเสียคุณสมบัติความเป็นสปริงไปในที่สุด แม้จะสามารถยืดอายุยางปัดได้แต่ก็เพียงเล็กน้อย แต่ความเสียหายที่เกิดขึ้น แม้เปลี่ยนยางปัดชุดใหม่ ก็จะเจอกับอาการที่ว่า ทำไมใบปัดน้ำฝน มันปาดน้ำบนผิวกระจกออกไปไม่หมด (เหมือนเดิม) เวลาเจอฝนตกหนักแทบขับต่อไม่ได้เลย เมื่อสปริงล้า จึงไม่สามารถที่จะรั้งก้านปัดน้ำฝนให้แนบสนิทติดกระจกได้ การรีดน้ำฝนออกจากผิวกระจกจะทำได้ไม่ดีเท่าเดิมด้วย ซึ่งจะแก้ไขต้องเปลี่ยนใหม่ทั้งขาปัดน้ำฝน แทนที่จะเสียหลักร้อย (เฉพาะเส้นยางปัด จากโรงาน) อาจต้องจ่ายเป็นพันเพื่อขาทั้งชุด
ใช้ใบปัดน้ำฝนขนาดแตกต่างจากกำหนดนิดหน่อย ไม่เป็นไรหรอก ?
ข้อสำคัญอีกเรื่องคือรถแต่ละรุ่นจะใช้ใบปัดน้ำฝนขนาดที่แตกต่างกันในการเปลี่ยนใบปัดน้ำฝนจึงควรจะดูขนาดที่ระบุอยู่ในคู่มือของรถรุ่นนั้นๆหรือสามารถเทียบดูรุ่นรถที่ระบุไว้บนกล่องใบปัดน้ำฝนได้เช่นกันในกรณีที่ติดใบปัดผิดขนาดถ้าเล็กไปจะทำให้รัศมีในการปัดน้อยลงทำให้ทัศนะวิสัยในการขับขี่ไม่ดีถ้าใหญ่ไปใบปัดอาจจะเลยขอบกระจกทำให้ใบปัดเสียและอายุการใช้งานน้อยลงไม่แนบกับกระจกหรือถึงกับทำให้ยางขอบกระจกบังลมหน้าเป็นรอยได้ จึงควรเลือกซื้อยางปัดน้ำฝนที่แนบสนิทกับกระจกบังลมหน้า–หลังได้ดี มีความยืดหยุ่นและมีขนาดพอดีกับก้านปัดน้ำฝนเท่านั้น ซึ่งของถูกและดีที่สุด คือของแท้ที่ศูนย์บริการนั่นแหละ เพราะสามารถเปลี่ยนเฉพาะเส้นยางในราคาหลักร้อยได้ โดยไม่ต้องเปลี่ยนทั้งโครงเหล็กของใบปัด
ใบปัดน้ำฝนไม่ต้องดูแลก็ได้ ครบปีก็ต้องเปลี่ยน ?
ถือเป็นอุปกรณ์ชิ้นเล็กๆแต่มีผลต่อความปลอดภัยในการขับขี่รถยนตในช่วงที่ฝนตกมากควรตรวจเช็คสภาพความพร้อมและทำความสะอาดยางปัดน้ำฝนด้วยตนเองสัปดาห์ละ 1 ครั้ง ด้วยวิธีง่ายๆ คือ ยกก้านปัดน้ำฝนขึ้นและใช้ผ้าชุบน้ำสะอาดบิดหมาด เช็ดรูดไปตามความยาวของยางปัดน้ำฝนในทิศทางเดียว หากพบร่องรอยการฉีกขาดหรือแข็งกรอบ ควรรีบจัดหาเปลี่ยนชุดใหม่ เพราะนอกจากจะปัดไม่สะอาดแล้ว ยังทำให้เกิดเสียงดังและสะดุดขณะปัด หรืออาจทำให้เกิดรอยขีดข่วนบนกระจกได้อีกด้วย
หยอดน้ำยาล้างจานใส่น้ำฉีกกระจก ฉีดแล้วใสปิ๊ง แต่ดีจริงหรอ ?
นับเป็นส่วนที่ต้องดูแลควบคู่ไปกับใบปัดน้ำฝนนั้นก็คือถังน้ำที่ใช้สำหรับฉีดกระจกมีหลายความเชื่อว่าควรหาน้ำยามาผสมลงไปจะทำให้กระจกสะอาดใสเวลาฉีดล้างซึ่งมักมาลงเอยที่น้ำยาล้างจาน “เพราะอาจคิดแค่ จานที่มีสาระพัดคราบมันยังสะอาดได้“ แต่อย่าลืมว่าน้ำฉีดกระจกนั้น ติดอยู่กับส่วนที่เป็นยางและสีรถ การฉีดแต่ละครั้งน้ำยาอาจตกค้างบริเวณขอบยาง และมีบริมาณไม่น้อยที่เลยไปถึงหลังคา เวลาฉีดตอนฝนตกอาจไม่เห็นผล แต่หากฉีดเพื่อล้างคราบฝุ่นช่วงกลางวัน น้ำยาล้างที่มีส่วนผสมชะล้างรุนแรงไม่น้อยกว่าผงซักฟอก จะไปเกาะที่สีรถเมื่อโดนแดด อาจทำให้สีด่างเป็นดวงๆ ได้ เพราะฉะนั้นอะไรที่จะเติมเข้าไปต้องไม่เป็นอันตรายกับสีของรถ(โดยเฉพาะรถเปิดประทุน Soft Top หลังคาผ้าใบนั้น ไม่ควรอย่างยิ่ง !!! ) ซึ่งปัจจุบันมีน้ำยาที่ผลิตเพื่อใช้เติมโดยเฉพาะแล้วและเวลาเติมจะต้องผสมกับน้ำให้เข้ากันเสียก่อนที่จะเติมลงในถัง
ส่วนอีกปัญหาที่พบบ่อยก็คือ เวลาที่ต้องการฉีดน้ำล้างกระจกหน้า แต่น้ำที่พุ่งออกมากลับไปคนละทาง พุ่งเลยหลังคา หรือไม่ก็ไปฉีดโดนรถคันข้างๆ บ้าง ควรตั้งรูหัวฉีดเสีย ใหม่ ให้ตรงกับหน้ากระจกเท่านั้นวิธีตั้งก็ไม่ยากแค่หาเข็มหรือจะเป็นปลายไม้ แหลมๆ เสียบเข้าไปที่รูฉีดน้ำแล้วดัดไปทางที่ต้องการโดยลองฉีดน้ำดูเรื่อยๆ เท่านี้ท่านก็ จะได้ล้างกระจกหน้าได้อย่างที่ตั้งใจแล้วยังเป็นการทำความสะอาดหัวฉีดไปใน ตัวด้วยครับ