แม้ว่าก่อนหน้านี่แบรนด์ผู้ผลิตรถยนต์จากประเทศอังกฤษอย่าง Mini ได้ออกมาประกาศอย่างชัดเจนแล้วว่า จะหยุดทำตลาดเครื่องยนต์สันดาป เพื่อมุ่งเป้าสสู่ความเป็นรถ EV แบบ 100% ในปี 2030 แต่สำหรับความเคลื่อนไหวล่าสุด Mini ยังคงง่วนอยู่กับการพัฒนารถแฮทช์แบค 3 ประตู เจนเนอเรชั่นต่อไปหลากหลายรูปแบบ ทั้งรถในรูปแบบเครื่องยนต์สันดาป ที่จะมีการใส่เทคโนโลยีการขับเคลื่อนและสิ่งอำนวยความสะดวกเข้าไปมากขึ้น รวมถึงรถในรูปแบบ EV ที่อาจเป็นอีกขั้นของการพัฒนาให้มีศักยภาพที่สูงขึ้น โดยที่ผ่านมา Mini Cooper SE ได้รับการขนานนามว่าเป็นรถที่ขับสนุกและให้สมรรถนะที่โดดเด่น แต่เสียงหนึ่งที่ผู้ใช้ยังคงคาใจก็คือ ระยะทางในการเดินทางต่อชาร์จที่น้อยเกินไป !
ความน่าสนใจคือ การอัพเกรด Mini Electric ให้มีขีดจำกัดในการใช้งานที่สูงขึ้น โดยเป็นการพัฒนาบนแพลตฟอร์มใหม่ที่สร้างขึ้นเืพ่อใช้งานสำหรับรถ EV โดยเฉพาะ จากเดิมที่เป็นการแชร์แพลตฟอร์มร่วมกับรถที่ใช้เครื่องยนต์สันดาป ทำให้มีข้อจำกัดหลายๆ ประการ โดยเฉพาะพื้นที่ในการจัดวางแพคแบตเตอรี่ ซึ่งส่งผลให้ระยะในการเดินทางของ Mini Electric ยังทำได้ไม่ดีเท่าที่ควร โดยนอกจากจะมีการออกแบบแพลตฟอร์มใหม่ที่ใช้กับรถ EV โดยเฉพาะแล้ว Mini Electric ยังจะมาพร้อมการปรับขนาดให้เล็กลงกว่ารุ่นปัจจุบัน เพื่อให้ผู้ขับขี่ได้สัมผัสแก่นแท้ของ Mini ในสไตล์ดั้งเดิมได้มากขึ้น แม้ว่าระยะฐานล้อจะยาวกว่ารุ่นเดิมอยู่ถึง 40 มม. แต่ด้วยระยะโอเวอร์แฮงค์ที่สั้นลง ก็จะส่งให้ฟีลลิ่งในการขับขี่นั้นเปลี่ยนไปอย่างชัดเจน
ความเป็นไปได้ของ Mini Electric เจนเนอเรชั่นต่อไป คือ จะมีมาให้เลือกใน 2 รุ่นย่อย เริ่มตั้งแต่ Cooper ที่เป็นรุ่นสแตนดาร์ด จะมาพร้อมแบตเตอรี่ 40 kWh รองรับการเดินทางได้ประมาณ 297 กม. ต่อการชาร์จ ส่วนในรุ่น Cooper S ซึ่งจะมีพละกำลังสูงในระดับกว่า 200 แรงม้า จะเพิ่มขนาดของแบตเตอรี่เป็น 50 kWh และรองรับการเดินทางได้ไกล 402 กม. ต่อการชาร์จ โดยความพิเศษของแพลตฟอร์มใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อรถ EV โดยเฉพาะก็คือ แม้ว่าจะใช้แพคแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ แต่น้ำหนักตัวรถ Mini Electric กลับเบาลงกว่ารุ่นเดิมที่ใช้แบตเตอรี่ความจุเพียง 32.8 kWh นอกจากนี้…สิ่งที่ได้มาเพิ่มเติมก็คือ จุดศูนย์ถ่วงที่ต่ำลง รวมถึงประสิทธิภาพในการกระจายน้ำหนักที่มีความเหมาะสมมากขึ้น
Mini Electric เจนเนอเรชั่นต่อไป จะเป็นรถรุ่นที่ทาง BMW Group ตั้งสายการผลิตหลักในประเทศจีน เช่นเดียวกับ BMW iX3 ซึ่งข้อดีสำหรับผู้ใช้รถ EV บ้านเรา สำหรับรถที่ผลิตในประเทศจีนก็คือ จะได้อัตราภาษีนำเข้า 0% ซึ่งส่งผลให้ราคาของ Mini Electric เจนเนอเรชั่นต่อไป อยู่ในระดับที่สามารถเข้าถึงได้ง่ายมากขึ้น หากเทียบกับรุ่นปัจจุบันที่นำเข้าจากประเทศอังกฤษและเสียภาษีนำเข้าในอัตรา 40%
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพจาก Motor 1