ตามข่าวเก่าที่ได้ติดตามมาตั้งแต่ปีที่แล้ว เรื่องคณะรัฐมนตรีไทยได้เห็นชอบปรับลดภาษีสรรพสามิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้าเหลือร้อยละ 0 เป็นเวลา 3 ปี โดยให้กรมสรรพสามิต กระทรวงการคลังลดอัตราภาษี EV ลงเหลือ 0% ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2563 ถึง 31 ธันวาคม 2565 (รวมระยะเวลาทั้งสิ้น 3 ปี) หลังจากนั้น ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2566 ถึง 31 ธันวาคม 2568 ก็จะกลับมาใช้อัตรา 2% ตามเดิม …นี่คือเรื่องแรก
อีกเรื่องคือการที่ภาครัฐได้ผลักดันวงการรถพลังไฟฟ้าให้เคลื่อนเข้าสู่ยุค EV2 ตามแผนที่คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ได้วางโร๊ดแม็ปมา แม้จะมีการปรับบางรายละเอียด เช่นสิทธิประโยชน์ทางภาษีพิเศษ ภายใต้ข้อแม้ว่าต้องพัฒนาสู่ Eco EV ภายในเวลาที่กำหนด เช่น ถ้าลดภาษีให้จาก 7% เหลือ 2% หรือลดจาก 10% เหลือ 5% เมื่อครบ 3 ปีต้องผลิตให้ได้ตามเงื่อนไข หากทำไม่ได้จะถูกเรียกเก็บภาษีคืน เป็นต้น
ทีนี้เมื่อหัวหน้าตระกูลนกตะกรุมรามอินทราได้เข้าไปศึกษาข้อมูลของกรมสรรพสามิต มาผนวกกับแผนของ BOI พบว่ามีการวางไทม์ไลน์ไว้ให้เริ่มจากพวก Mild hybrid และ Eco EV ก่อนลงทุนไปสู่การผลิต EV แท้ๆ (ซึ่งปัจจุบันอัตราภาษีสรรพสามิตรถยนต์ EV ทั่วไปจะอยู่ที่ 8% แต่ถ้าได้รับส่งเสริม BOI จะอยู่ที่ 2% เมื่อปีที่แล้ว และลดลงเหลือ 0% ในปีนี้) ทั้งนี้ก็เพื่อสานฝันให้ไทยเราเป็นฮับของ EV ในย่านอาเซี่ยน ซึ่งก็หมายความว่าต้องผลิตรถพลังไฟฟ้าให้ได้ถึง 1.2 ล้านคันในปี 2036 หรืออีก 17 ปีข้างหน้า คือหวังจะให้ไทยก้าวขึ้นสู่ “หัวตาราง” ลีครถยนต์ไฟฟ้าในย่านนี้ สอดคล้องกับนโยบายระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออกหรือ EEC ที่คาดว่าจะเป็นจริง !!
จีนช่วยกระตุ้น สิงค์โปร์ออกนำ ??
ที่น่าจับตามองคือจีนและการเข้ามาของจีนในอุตสาหกรรม EV ไทย ซึ่งแม้จะทะยอยๆเข้ามามิได้ขาดสายจาก MG และ เปิดตัวสินค้าใหม่อย่าง GWM รวมทั้งแผนการลงทุนในประเทศเราก็ตาม แต่สิงค์โปร์เองปัจจุบันก็ได้ร่วมลงทุนกับจีนตั้งบริษัทเพื่อเข้าสู่การแข่งขันตลาด EV เต็มตัวด้วยเช่นกัน ทั้งๆที่ประเทศตนไม่ได้มีโครงสร้างพื้นฐานสำหรับอุตสาหกรรมประเภทนี้เลย…..ถ้าเป็นการเตะแบบ “เหย้าเยือน” ดูเหมือนว่าสิงค์โปร์ออกตัวได้ดีกว่าเราในสนามแรก !!! ปัจจัยสำคัญแห่งความสำเร็จก้าวแรกของพวกเขาคือไม่รอการสนับสนุนจากรัฐบาล ใช้จิตวิญญาณพ่อค้านักการลงทุน กล้าก้าวสู่เวทีโลก EV ก่อนเราใคร จนปัจจุบันใหญ่สุดในอาเซียน !!!
แน่นอนว่าถ้าเราอยากจะแข่งขันกับเขา เมื่อยังคิดอะไรไม่ออกก็จำเป็นต้องศึกษามาตรการภาครัฐของบางประเทศที่เขาประสบความสำเร็จในการสนับสนุน กระตุ้น จูงใจผู้คน ภาคเอกชน ภาครัฐ ให้ “คิด” หรืออย่างน้อยก็นำมาเป็นทางเลือกหนึ่งก่อนผู้บริโภคจะซื้อรถคัน/ฟลีทครั้งต่อไป เช่น เว้นการเก็บภาษีด้านบริโภคน้ำมันและสิ่งแวดล้อม การจดทะเบียน/ต่อทะเบียนในการครอบครอง การใช้รถ และถ้ารถคันนั้นปล่อย C02 เป็นศูนย์ก็จะลด VAT ค่าแบตเตอรี่ให้ด้วย สนับสนุนทางการเงินให้ผู้ประกอบการ ลดภาษีแก่บริษัทที่นำ EV มาใช้งาน
บางประเทศแถวยุโรปเหนือ รัฐช่วยจ่ายภาษีจดทะเบียน EV ยกเว้นภาษีต่อทะเบียน 10 ปี รัฐจ่ายโบนัสให้ถ้าซื้อรถ EV เว้นภาษีจดทะเบียนรถใดที่ปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ รถส่วนบุคคลใดที่ปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ยกเว้นการขึ้นภาษี รถ EV ที่ใช้ในนามบริษัทจะเสียภาษีรายได้อัตราต่ำสุด หรือลดภาษีต่อทะเบียน รถที่ปล่อย CO2 น้อยกว่า 50 กรัม/กิโลเมตร จะถูกพิจารณาให้สามารถลงบัญชีต่ำกว่ามูลค่าจริง 100% ในปีแรกๆ
ประเด็นเหล่านี้แน่นอนว่าภาครัฐบ้านเราได้ศึกษามานานแล้ว แต่จะเขย่าลงตัวนำมาเริ่มประยุกต์ใช้เมื่อไร อย่างไรในบ้านเราเท่านั้น ….พวกเรารออยู่นะ รถ(ยนต์)ไฟฟ้ารีบมานะเธอ !!