BMW ค่ายรถยนต์แบรนด์ดังจากประเทศเยอรมนี อยู่ในระหว่างการพัฒนาแบตเตอรี่รูปแบบใหม่ ร่วมกับสตาร์ทอัพแบรนด์จากฝั่งอเมริกาในชื่อ Our Next Energy (ONE) บริษัทพลังงานในมิชิแกน ซึ่งจากผลที่ออกมา ปรากฎว่า Gemini แบตเตอรี่ชนิดใหม่ที่กำลังอยู่ในระกว่างการทดลอง ให้ผลในการทดสอบที่ดีเกินคาด โดยเมื่อจับคู่กับ SAV พลังไฟฟ้าอย่าง BMW iX สามารถทำระยะการวิ่งต่อชาร์จได้ในระดับ 965 กม.
BMW iX จับคู่แบตเตอรี่ Gemini ให้ระยะการเดินทางได้มากกว่าสแตนดาร์ดถึง 2 เท่า !
สำหรับโครงการพัฒนาดังกล่าว BMW Group ได้เริ่มมาตั้งแต่ในช่วงกลางปี 2022 โดยมีเป้าหมายว่า แบบตเตอรี่ชนิดใหม่ของ Our Next Energy จะต้องมีระยะการเดินทางเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าของระยะการใช้งานจริง หรือประมาณ 965 กม. เมื่อจับคู่กับ BMW iX ซึ่งจากผลการทดสอบที่ออกมาล่าสุด ภายใต้มาตรฐานการทดสอบตามกระบวนการ WLTP นั้น ตัวรถที่ใช้งานร่วมกับแบตเตอรี่ Gemini สามารถวิ่งได้ไกลถึง 608.1 ไมล์ หรือประมาณ 978 กม.
978 กม. ต่อชาร์จ จากการทดสอบภายใต้มาตรฐาน WLTP
ด้วยปริมาตรที่ใกล้เคียงกับแบตเตอรี่รถ EV ทั่วๆ ไป Gemini จะให้กำลังได้สูงถึง 185 kWh
สำหรับแบตเตอรี่สำหรับรถ EV ในชื่อ Gemini ของ Our Next Energy นั้น เป็นแบตเตอรี่ที่ให้ความหนาแน่นของพลังงานในระดับ 450 วัตต์/ลิตร ซึ่งเท่ากันว่า ในปริมาตร 1 ลิตร ของแพคแบตเตอรี่ จะให้พลังงานถึง 450 วัตต์ (หรือ 0.45 กิโลวัตต์) โดยหากนำแบตเตอรี่ชนิดนี้ รวมแพคให้มีขนาดใกล้เคียงกับแบตเตอรี่สำหรับรถ EV ทั้วๆ ไป จะให้พลังงานมากถึง 185 kWh และด้วยระดับประสิทธิภาพดังกล่าว จะช่วยยกระดับสมรรถนะ โดยเฉพาะในแง่ระยะในการเดินทางของรถ EV ที่ยังอาจมีข้อจำกัดในอดีตได้อย่างนาประทับใจ
รายละเอียดในภาพรวมของแบตเตอรี่ Gemini
วางเซลล์ 2 รูปแบบ เพื่อดึงจุดเด่นที่แตกต่างกัน ลิเธียมเด่นที่ความทนทาน, แอโนดฟรี เด่นที่ความหนาแน่นของพลังงาน
จุดเด่นของแบตเตอรี่ Gemini ของ Our Next Energy คือ การวางโครงสร้างที่ใช้เซลล์แบตเตอรี่ 2 รูปแบบ (Dual-chemistry battery architecture) ซึ่งเป็นการนำจุดเด่นของเซลล์ 2 รูปแบบ ที่แตกต่างกันมารวมเข้าด้วยกัน โดยเซลล์ชนิดแรกกก็คือ Lithium iron phosphate (LFP) เซลล์แบตเตอรี่พื้นฐานที่นิยมใช้ในรถ EV ยุคปัจจุบัน ซึ่งมีจุดเด่นในเรื่องความทนทาน รวมถึงสามารถตอบสนองการใช้งานทั่วๆ ไป ที่โดยเฉลี่ยแล้ว จะครอบคลุมระยะทางราว 150 ไมล์ หรือ 240 กม. ใน 1 วัน ส่วนเซลล์ชนิดที่ 2 ที่ถูกนำมาจับคู่ในแบตเตอรี่ Gemini ก็คือ Anode free cells ที่เป็นเซลล์พลังงานความหนาแน่นสูงในระดับ 1,000 วัตต์/ลิตร เพื่อช่วยในการเพิ่มระยะการเดินทางได้อีก 450 ไมล์ หรือประมาณ 728 กม. ในบางโอกาส โดยสิ่งสำคัญที่จะทำให้เซลล์แบตเตอรี่ 2 รูปแบบนี้ สามารถทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ คือ Our Next Energy จะต้องพัฒนาตัวแปลงกระแสไฟ DC to DC แปลงกระแสตรง เป็นกระแสตรง ที่มีความหนาแน่นสูงขึ้น เพื่อจัดการพลังงานภายในเซลล์แบตเตอรี่ทั้ง 2 ชนิด อย่างเหมาะสม
ดึงพลังงานจากลิเธียมออกมาใช้ เมื่อใช้งานปกติ แต่สำหรับการเดินทางในระยะไกล จะยกให้เป็นหน้าที่ของแอโนดฟรี
หากสังเกตจากภาพ จะเห็นได้ว่า ภายในชุดแพคแบตเตอรี่ Gemini จะมีเซลล์ในรูปแบบ Anode free มากกว่าเซลล์ LFP ประมาณ 2 เท่า เนื่องจากเซลล์ Anode free นั้น จะให้ความหนาแน่นของระดับพลังงานที่สูงกว่า ซึ่งเมื่อคำนวนออกมาแล้ว จะให้พลังงานได้ถึง 75% ของพลังงานทั้งหมดที่แบตเตอรี่แพคนี้ให้ได้ โดย Our Next Energy ยังให้ข้อมูลเสริมอีกว่า หากเทียบกับแบตเตอรี่ของรถ EV ทั่วๆ ไป ที่มีขนาดประมาณ 3-400 ลิตร Gemini เป็นแบตเตอรี่ที่ให้พลังงานได้สูง และใช้งานได้ยาวนานที่สุด
นอกจากแบตเตอรี่ Gemini จะมีประสิทธิภาพด้านการให้พลังงานในระดับสูงแล้ว ยังเป็นการช่วยลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติได้อย่างน่าสนใจ เมื่อเทียบกับการนำธาตุวัตถุดิบต่างๆ มาใช้กับแบตเตอรี่ของรถ EV ทั่วไป เช่น ลดการใช้ลิเธียมลง 20%, ลดการใช้กราไฟท์ 60%, ลดการใช้นิเกิล 75% รวมถึงลดการใช้โคบอลต์ถึง 100% โดยเมื่อพัฒนาแบตเตอรี่ Gemini ได้เป็นที่เรียบร้อย สิ่งที่ต้องทำในขั้นตอนถัดไปก็คือ การปรับปรุงประสิทธิภาพของระบบแปลงไฟ DC to DC เพื่อควบคุมประสิทธิภาพในการชาร์จไฟเข้าสู่เซลล์แบตเตอรี่ ที่มีความหนาแน่นของระดับพลังงานที่ต่างกัน
