S5 นับเป็นผลงานสเต็ปแรกจาก Audi Sport GmbH ในการโม A5 ขึ้นมาจากรถสแตนดาร์ด ขณะที่ RS 5 คือสเต็ปสองที่จัดหนักกว่า กระทั่งกลายเป็นตัวแรงจากโรงงานที่โหดสุดในไลน์การผลิตรถอนุกรมนี้ โดยทั้ง S5 และ RS 5 ได้ถูกต่อยอดมาจากรถ AUDI ที่เน้นเทคโนโลยีชั้นสูงในการผลิตเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ซึ่งเริ่มต้นตั้งแต่เรื่องวัสดุ ที่ตั้งเป้าลดน้ำหนักตั้งแต่ขั้นตอนการออกแบบ เพราะน้ำหนักได้กลายเป็นตัวแปรสำคัญในการสร้างโหลดให้กับเครื่องยนต์ ในส่วนของโครงสร้างวิศวกรเลือกใช้อะลูมีเนียมเพิ่มขึ้นในหลายส่วน ขณะที่โครงสร้างรอบห้องโดยสารจะเป็นการผสมผสานของวัสดุ Cold-formed Steel และ Hot-formed Steel ซึ่งรับหน้าที่ปกป้องผู้โดยสารกรณีที่รถประสบอุบัติเหตุ
การลดน้ำหนักเพิ่มเติมในตัวแรงอย่าง RS 5 วิศวกรสายมอเตอร์สปอร์ตจาก Audi Sport GmbH ได้เก็บตกทุกรายละเอียด ที่โดดเด่นสุดๆ คือ การใช้หลังคาคาร์บอนไฟเบอร์ (CFRP Roof: Carbon Fiber-reinforced Polymer Roof) ตัดน้ำหนักทิ้งไปได้ 4 กิโลกรัม เมื่อเทียบกับหลังคาเหล็ก ช่วยลดแรงเหวี่ยงหนีศูนย์ขณะ RS 5 อยู่ในโค้ง หรือแม้แต่ล้อ forced เริ่มที่ 19 นิ้ว ไล่ไปจนถึง 20 นิ้ว เฉพาะในส่วนของตัวถัง RS 5 เบาขึ้นอีกราว 15 กิโลกรัม เมื่อเทียบกับ A5 Coupé
ในส่วนของเครื่องยนต์ RS 5 โมเดลก่อนหน้านี้ ใช้เครื่องยนต์ V8 4.2 FSI ซึ่งเป็นเครื่องยนต์ NA ตัวเดียวกับ R8 เจนแรก ก็เปลี่ยนมาเป็นบล็อก V6 bi-turbo ที่มีน้ำหนักเพียง 182 กิโลกรัม เบาขึ้นถึง 31 กิโลกรัม ผลลัพธ์คือการกระจายน้ำหนักระหว่างหน้า และหลัง ทำได้ลงตัวยิ่งขึ้น เบ็ดเสร็จ RS 5 โฉมปัจจุบันมีน้ำหนักรวมอยู่ที่ 1,707 กิโลกรัม เบาขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับ RS 5 โฉมเก่า
RS 5 ใช้เครื่องยนต์บล็อกใหม่ ‘2.9 TFSI V6 bi-turbo’ ขนาดความจุ 2,894 ซีซี ที่ถูกพัฒนาต่อมาจากเครื่อง ‘3.0 TFSI V6 turbo’ ขนาดความจุ 2,995 ซีซี ใน S5 เริ่มต้นเครื่องยนต์ของทั้ง RS 5 และ S5 ใช้ระยะ Bore (เส้นผ่าศูนย์กลางกระบอกสูบ) เท่ากันที่ 84.5 มิลลิเมตร เครื่อง ‘2.9 TFSI’ ใช้ Stroke (ระยะชัก) ที่ 86.0 มิลลิเมตร ส่วนเครื่อง ‘3.0 TFSI’ ใช้ Stroke ที่ 89.0 มิลลิเมตร ระยะชักของลูกสูบที่ต่างกันเพียง 3 มิลลิเมตร พร้อมฝาสูบที่ถูกปรับแต่งใหม่เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผสมผสานของอากาศกับน้ำมันเชื้อเพลิง ทำให้ความจุเครื่องยนต์ลดลง 101 ซีซี นั่นเอง
เทคโนโลยีเครื่องยนต์พื้นฐาน ได้แก่ ระบบฉีดน้ำมันเชื้อเพลิง FSI (Direct Injection) ใช้แรงดันฉีดน้ำมันเชื้อเพลิงแบบแปรผันตามโหลด ทำได้สูงสุดถึง 250 บาร์, ระบบ Variable Camshaft Timing หรือวาล์วแปรผัน, ระบบ Audi Valvelift System (AVS) ช่วยปรับระยะการกดของวาล์วไอดี ซึ่งเพิ่มระยะกดสุดของวาล์วจาก 6 ไปเป็น 10 มิลลิเมตร, การออกแบบวงจร bi-turbo ของเครื่อง ‘2.9 TFSI’ เริ่มต้นที่การวางเทอร์โบทั้ง 2 ตัว ไว้ระหว่างบล็อก ‘ตัว V’ ที่ทำมุมกัน 90 องศา ส่วนที่แตกต่างจากเครื่องสูบวีในอดีตคือ พอร์ทไอเสียถูกย้ายมาอยู่ด้านใน ส่วนพอร์ทไอดีขยับไปไว้ด้านนอก จึงสามารถวางโข่งไอเสียเทอร์โบ ให้ชิดกับพอร์ทไอเสียได้มากขึ้น ช่วยลดแรงต้านการไหลของไอเสีย แรงดันสูงสุดในการอัดอากาศของ bi-turbo ชุดนี้ ถูกเซทไว้ที่ระดับ 1.5 บาร์
เครื่องยนต์ ‘2.9 TFSI V6 bi-turbo’ ใต้ฝากระโปรงหน้า RS 5 โมเดลปี 2020 เรียกกำลังออกมาใช้งานได้ 450 PS ที่ 5,700-6,700 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 600 Nm ตั้งแต่รอบต่ำ 1,900 ลากยาวไปถึง 5,000 รอบ/นาที เครื่องยนต์ทรงพลังถูกจับคู่กับเกียร์ Tiptronic 8 สปีด และระบบขับเคลื่อน Quattro ทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ด้วยเวลา 3.9 วินาที ความเร็วสูงสุดถูกล็อกไว้ที่ 250 กม./ชม. และหากเจ้าของ RS 5 จ่ายเพิ่มให้กับอ็อพชั่น RS Dynamic Package ความเร็วปลายจะขยับจะไหลไปที่ 280 กม./ชม. อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย 10.86 กิโลเมตร/ลิตร และมีตัวเลข CO2 ต่ำเพียง 208 กรัม/กิโลเมตร เท่านั้น
………………………………………………………
ผู้เขียน พิทักษ์ บุญท้วม
………………………………………………………
ติดตามข่าวสารขับซ่าได้ ที่นี่
ชมรายการขับซ่า34 ย้อนหลังได้ ที่นี่