Mercedes-Benz เปิดตัวรถอเนกประสงค์รุ่นกลางตระกูล GLE เวอร์ชั่นปี 2024 งานนี้นอกจากจะมีการปรับภาพลักษณ์ให้ดูทันสมัยยิ่งขึ้นแล้ว Mercedes-Benz GLE 2024 ยังมาพร้อทเทคโนโลยีใหม่ ที่ช่วยให้การขับขี่ขนเส้นทางออฟโร๊ดทำได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมไปถึงระบบปฏิบัติการ MBUX เวอร์ชั่นใหม่ ที่ชาญฉลาด สามารถตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตลืได้อย่างลงตัว แต่ที่เป็นไฮไลท์สุดๆ สำหรับการ Face Lift ในครั้งนี้ คือ การเพิ่มรุ่นย่อยใหม่ในชื่อ Mercedes-Benz GLE 400e 4Matic ซึ่งมาในรูปแบบปลั๊กอินไฮบริดที่ทรงพลัง
Mercedes-Benz GLE 400e 4Matic เป็นการจับคู่ระหว่าง เครื่องยนต์เบ็นซิน 4 สูบ พิกัด 2.0 ลิตร จับคู่กับมอเตอร์ไฟฟ้า ที่ให้กำลังขับเคลื่อนรวมทั้งระบบ 386 แรงม้า พร้อมกับแรงบิด 649 นิวตัน-เมตร เคลมอัตราเร่งจาก 0-96 กม./ชม. ได้ภายใน 5.8 วินาที โดยจับคู่กับแพลคแบตเตอรี่ขนาด 23.3 kWh ซึ่งยังไม่มีการยืนยันระยะางในการวิ่งด้วย EV Mode แต่ความน่าสนใจอยู่ที่ ฟังค์ชั่นรองรับการชาร์จเร็วด้วยไฟ DC สามารถรองรับกำลังไฟสูงสุด 60 kW นอกจากนี้ตัวเลือกที่ #ทีมขับซ่า ชื่นชอบเป็นการส่วนตัวอย่าง Mercedes-Benz GLE 350 de 4Matic ก็ยังจะมีมาเป็นหนึ่งในทางเลือกเช่นเดียวกัน รายละเอียดสำคัญของการ Face Lift คือ การอัพเกรดทุกรุ่นย่อยให้มาพร้อมมอเตอร์ Mild Hybrid ขนาด 48 โวลต์ ช่วยในการออกตัวและเร่งแซง
นอกจากการเพื่มรุ่นย่อย และปรับขุมพลังมาเป็นแแบบ Mild Hybrid แล้ว Mercedes-Benz GLE 2024 ยังได้รับการอัพเกรดฟังค์ชั่นการแสดงผลบนหน้าจออินโฟเทนเม้นท์ ซึ่งสามารถโชว์ข้อมูลสำหรับการขับขี่ในรูปแบบออฟโร๊ด ไม่ว่าจะเป็นมุมล้อ รวมถึงองศาการไต่ โดยทำงานร่วมกับชุดกล้อง 360 องศา ที่สามารถโชว์ภาพแบบโปร่งใสให้เห็นสิ่งกีดขวางใต้ท้องได้ชัดเจนมากขึ้น นอกจากนี้ยังเพิ่มฟังค์ชั่นที่เรียกว่า Trailer Route Planner ที่จะช่วยเลือกเส้นทางมที่เหมาะสม หากต้องเดินทางพร้อมการลากเทรลเลอร์ โดยจะพิจารณาจาก น้ำหนัก, ความสูง รวมถึงความกว้างของเทรลเลอร์ที่ถูกลากจูง เพื่อให้สามารถเดินทางและหาจุดจอดได้อย่างสะดวก รวดเร็วมากยิ่งขึ้น โดยจะทำงานร่วมกับระบบ Trailer Maneuvering Assist ที่จะแสดงภาพจากกล้องรองทิศทาง รวมถึงมุมเลี้ยวโดยอัตโนมัติ เมื่อขับขี่ด้วยความเร็วต่ำกว่า 4.5 กม./ชม.
ระบบปฏิบัติการ MBUX ของ Mercedes-Benz GLE 2024 แม้จะทำงานร่วมกับหน้าจอขนาด 12.3 นิ้ว เช่นเดิม แต่ระบบในเจนเนอเรชั่นนี้ ได้รับการอัพเกรดให้สามารถประมวลผลได้เร็วมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะระบบสั่งการด้วยเสียงที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ด้วยการอัพเกรดเฟิร์มแวร์ผ่านระบบ Over the Air พร้อมรองรับการเชื่อมต่อ Apple Carplay และ Android Auto แบบไร้สาย ซึ่งหลายฟังค์ชั่นได้รับการถ่ายทอดมาจากรุ่นใหญ่อย่าง Mercedes-Maybach และ S-Class เช่น พวงมาลัยที่มาพร้อมเซ็นเซอร์ระบบสัมผัส, ชุดโครเมี่ยมบริเวณช่องแอร์ เช่นเดียวกับลวดลาย MANUFAKTUR Piano Black Flowing ที่โดยปกติแล้ว จะมีเฉพาะในรุ่นพี่อย่าง GLS นอกจากนี้ยังสามารเลือกสีภายในห้องโดยสารได้หลากหลายมากขึ้น ด้วยการจับคู่สีระหว่าง สีเบจกับสีดำ และ สีน้ำตาลกับสีดำ
ภาพลักษณ์ภายนอกของ Mercedes-Benz GLE 2024 ได้รับการอัพเกรดเล็กน้อย ไม่ว่าจะเป็นชุดกันชน หรือแม้แต่กระจังหน้าที่ออกแบบเส้นคาดกลางเป็น 2 ชั่้น คาดกลางด้วยแถบโครเมี่ยมพร้อมโลโก้ดาวสามแฉก ในส่วนไฟท้ายแนวนอนมีการแบ่งช่องเป็น 2 บล็อค ชุดล้อมีการเพิ่มลายพร้อมออพชั่นให้เลือกทั้งขนาด 19 และ 20 นิ้ว เช่นเดียวกับสีตัวถัง ที่เพิ่มทางเลือกใหม่ด้วยสีน้ำเงิน Twilight Blue และสีเทา Alpine Grey
นอกจาก Mercedes-Benz GLE 2024 แล้ว รถในตระกูลแรงอย่าง Mercedes-AMG GLE แม้ว่าทั้งตระกูล 53 และ 63 จะยังมีแรงม้าเท่าเดิมแต่ทั้งคู่ ยังได้รับการอัพเกรดที่น่าสนใจเช่นกัน โดยเฉพาะ GLE 53 ที่มีการอัพเกรดแรงบิดเป็น 560 นิวตัน-เมตร จากการขยับบูสต์ของเทอร์โบให้กับเครื่องยนต์ V6 3.0 ลิตร นอกจากนี้ยังเพิ่ม Air Balance Package รวมถึงเพื่ม Head up display อีกด้วย