ถือเป็นปรากฏการณ์ที่น่าจับตา เมื่อยอดขายรถ EV ในไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ แต่ละแบรนด์ทำตัวเลขออกมาให้แฟนๆ ได้ลุ้น โดยเฉพาะกับ BYD ผู้ผลิตรถยนต์จากประเทศจีน ที่สามารถทำยอดขายรถในรูปแบบ BEV ได้เข้าใกล้แบรนด์ยอดนิยมอย่าง Tesla ที่เป็นผู้นำในวงการรถยนต์พลังงานไฟฟ้ามาหลายปีต่อเนื่อง ซึ่งนี่ไม่ใช่แค่การที่ BYD เพิ่งจะมาแรงในช่วงครึ่งปีหลังเท่านั้น แต่ในช่วงครึ่งปีแรก ยังสามารถทำตัวเลขเกาะกลุ่มตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา
สิ่งหนึ่งที่ทำให้ BYD (รวมถึงแบรนด์รถ EV อื่นๆ จากประเทศจีน) เป็นรถที่สามารถทำยอดขายได้สูงขึ้น ทั้งในประเทศ รวมถึงในภูมิภาคอื่นๆ คงหนีไม่พ้นการเซ็ตระดับราคา เพื่อให้ผู้ที่หันมาสนใจ หรือกำลังมองหารถ EV มาใช้งาน สามาถเข้าถึงได้ง่าย จากการเก็บสถิติของ JATO Dynamics พบว่า ในสหรัฐอเมริกา หรือแม้แต่ในยุโรป รถ EV ในระดับราคาเริ่มต้น จะมีราคาสูงกว่ารถที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายในถึง 2 เท่า แต่สำหรับในประเทศจีนนั้น รถ EV ในระดับเริ่มต้น มีราคาที่ต่ำกว่ารถที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปในระดับเดียวกันถึง 9% นั่นจึงทำให้จีน เป็นประเทศที่ใครๆ ก็สามารถขับรถยนต์พลังงานไฟฟ้าได้ อีกทั้งระดับราคาของแบรนด์รถ EV จากประเทศจีน (ที่ทำตลาดในอเมริกา) มีราคาเฉลี่ยเพียง €31,165 (ประมาณ 1.86 ล้านบาท) ซึ่งต่ำกว่าแบรนด์รถ EV จากอเมริกาและยุโรป ที่มีราคาเฉลี่ยอยู่ที่ €66,864 (2.54 ล้านบาท) และ €68,023 (ประมาณ 2.59 ล้านบาท) ตามลำดับ
จากตัวเลขในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี 2023 แบรนด์ Tesla เป็นค่ายที่มียอดขายรถ EV จำนวนสูงที่สุด คือ 435,059 คัน ถือว่าโตขึ้นเพียง 27% ซึ่งส่วนหนึ่งของการชะลอตัว เป็นผลมาจากการปรับสายการผลิตในประเทศจีน (เพื่อผลิต Model 3 Highland) ทำให้ยอดขายไม่โตอย่างที่ควรจะเป็นด้วย ในทางกลับกัน ด้วยความที่ยอดขายของ Tesla ไม่เป็นไปตามเป้า ส่งผลให้ BYD ที่ทำยอดขายได้ดีอย่างต่อเนื่อง เกือบที่จะทำตัวเลขแซงหน้า เมื่อเทียบเฉพาะยอดขายรถ BEV ทั้งหมด โดยในช่วงไตรมาสที่ผ่านมา สามารถทำยอดขายได้ถึง 431,603 คัน ซึ่งคิดเป็นการเติบโตถึง 67% (น้อยกว่า Tesla เพียง 3,456 คัน เท่านั้น) โดยจำนวนยอดขายของ BYD ทั้งหมด คิดเป็น 99.2% ของที่ Tesla ทำได้ ซึ่งที่ผ่านๆ มา ค่ายรถจากประเทศจีน ไม่เคยทำตัวเลขเฉพาะรถ BEV ได้ใกล้เคียงขนาดนี้
สิ่งที่เราได้เห็นจากตัวเลข นั่นหมายความว่า ยุคแห่งการเป็นผู้นำในวงการรถยนต์พลังงานไฟฟ้าของ Tesla อาจถึงการอวสาน ซึ่งก็คงต้องขึ้นอยู่กับว่า การชะลอตัวของแบรนด์ Tesla จะคงอยู่ไปนานขนาดไหน และในช่วงเวลาที่เหลือของไตรมาสที่ 4 แบรนด์จะยังคงรักษาความเป็นเบอร์ 1 ในวงการรถ BEV ได้หรือไม่ ? หรือจะเป็นทางฝั่ง BYD ที่ค่อยๆ ไล่แซงเฉพาะในช่วงไตมาสที่ 4 หลังจากยอดขายทั้งในเอเซีย รวมถึงยุโรป เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในหลากหลายเซ็กเม้นท์ โดยสิ่งหนึ่งที่เป็นข้อได้เปรียบของแบรนด์ BYD ก็คือ การมีกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย และสามารถเข้าถึงได้ง่าย
นอกจาก Tesla และ BYD แล้ว แบรนด์ที่มาเป็นอันดับที่ 3 สำหรับรถ BEV ก็คือ Volkswagen Group ที่ในปีนี้ ทำยอดขายรถยนต์พลังงานไฟฟ้าได้เพิ่มขึ้น 41% หรือ 209,394 คัน (น้อยกว่าครึ่งเมื่อเทียบกับทั้ง 2 แบรนด์ ในอันดับ 1 และ 2) น่าสนใจว่า ในช่วงเวลาที่เหลือ (รวมถึงในปีต่อๆ ไป) Volkswagen Group จะรักษาตำแหน่ง Top 3 ไว้ได้หรือไม่ ?
ภาพรวมในตลาดรถ BEV ในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา Tesla เป็นแบรนด์ที่ทำยอดขายได้ดีที่สุด หรือกว่า 1.3 ล้านคัน (1,324,074 คัน เติบโต 46%) ตามมาติดๆ ด้วย BYD ที่มียอดขาย “ทะลุล้าน” (1,048,413 คัน เติบโต 80%) ขณะเดียวกัน Volkswagen Group มียอดขายในปีที่ผ่านมากว่า 5 แสนคัน (530,485 คัน เติบโต 45%) แม้ว่า BYD จะเป็นแบรนด์ที่กำลังมาแรง แต่เชื่อว่าด้วยช่องว่างที่ห่างกันเกินไป แม้ว่าแบรนด์อาจจะทำยอดขายในไตรมาสที่ 4 ได้สูงกว่า แต่คงเป็นไปได้ยากที่จะโค่่น Tesla เพื่อเป็นเบอร์ 1 ของวงการรถ BEV ในปีนี้ได้