Yamaha YZF-R7 (ยามาฮ่า วายแซดเอฟ อาร์ เซเว่น) เปิดตัวครั้งแรกในโลกราวปลายเดือนพฤษภาคม ที่ผ่านมา ก่อนที่ทาง Yamaha Riders’ Club ผู้จำหน่ายบิ๊กไบค์ภายใตเครื่องหมายการค้า Yamaha ในประเทศไทย ถือฤกษ์ดีวันที่ 7 ตุลาคม 2564 เปิดตัวซูเปอร์สปอร์ตน้องใหม่อย่าง Yamaha YZF-R7 ท่ามกลางเสียงฮือฮาจากไบค์เกอร์ผู้คลั่งไคล้สองล้อสไตล์สปอร์ตพันธุ์แท้ ซึ่งนี่เป็นเสมือนการเปิดโลกใหม่ในวงการมอเตอร์ไซค์บ้านเรา ด้วยรถในสไตล์ซูเปอร์สปอร์ตมิดเดิ้ลคลาส ที่สามารถเข้าถึงและจับต้องได้ง่ายเพียงคันแรกและรุ่นเดียวในไทย ด้วยค่าตัวของ Yamaha YZF-R7 ที่ถูกตั้งไว้ที่เพียง 339,000 บาท เท่านั้น
ซูเปอร์สปอร์ตมิดเดิ้ลคลาสคันแรกและรุ่นเดียวในไทยที่ใครๆ ก็เข้าถึงได้
คำว่า Yamaha YZF-R7 คือ ซูเปอร์สปอร์ตมิดเดิ้ลคลาสคันแรกและรุ่นเดียวในไทยที่เข้าถึงได้ง่าย อาจฟังแล้วเป็นคำพูดที่ดูเวอร์วังไปสักหน่อย แต่หากพิจารณาโดยหลักการแล้ว ถือว่าไม่ใช่คำกล่าวที่เกินจริงแต่อย่างใด เพราะหากเทียบราคาของบิ๊กไบค์ในงบประมาณเดียวกันที่ “สามแสนกลางๆ” เดิมทีคงซื้อได้แค่รถในรูปแบบสปอร์ตทัวริ่ง หรือหากยกระดับขึ้นมาอีกหน่อย คงเป็นได้แค่สปอร์ต ที่ดูยังไงก็ยังห่างไกลคำว่า SuperSport ไปหลายขุม ต่างกับ Yamaha YZF-R7 ที่เมื่อพิจารณาจากองค์ประกอบแล้ว ถือว่า “เข้าทำนอง” โดยเฉพาะการใช้ชุดแฮนด์แบบ Clip On จับใต้แผงคอ แม้จะไม่ได้สุดโต่งอย่างรุ่นพี่ Yamaha YZF-R1 หรือ YZF-R6 แต่ทำออกมาได้ใกล้เคียงและตรงกับวัตถุประสงค์ที่ทางค่ายต้องการนำเสนอใน 2 บุคลิก เช่นเดียวกับภาพที่นำเสนอในตอนเปิดตัวครั้งแรกในโลก
แค่เครื่องเดียวกัน…ที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
แม้หลายคนจะมองว่า Yamaha YZF-R7 เป็นเพียงร่างจำแลงของเพื่อนร่วมคลาสอย่าง MT-07 เพราะใช้เครื่องยนต์ รวมถึงส่วนประกอบหลายๆ อย่างในรูปแบบเดียวกัน แต่หากลงลึกในรายละเอียด จะรู้ได้ทันทีว่า Yamaha YZF-R7 มีการปรับจุดสำคัญที่ส่งผลต่อคาแร็กเตอร์การขับขี่ในสไตล์ซูเปอร์สปอร์ตได้อย่างชัดเจนมากขึ้น เช่น โครงสร้างมีการปรับองศาคอให้ตั้งชันมากขึ้น ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อระยะฐานล้อที่สั้นลง จากเดิมของ Yamaha MT-07 มีระยะฐานล้ออยู่ที่ 1,400 มม. แต่สำหรับ Yamaha YZF-R7 ที่ปรับองศาคอแล้ว ระยะฐานล้อจะสั้นลงอีก 5 มม. ซึ่งด้วยระยะฐานล้อที่สั้นลงนั้น ส่งผลโดยตรงต่อความคล่องตัวในการขับขี่ ทำให้สามารถพลิกรถได้ง่าย คอนโทรลรถได้อย่างเชื่องมือมากยิ่งขึ้น เช่นเดียวกับชุดช่วงล่างที่เรียกได้ว่าจัดเต็ม แทบไม่ต่างกับรุ่นพี่อย่าง Yamaha YZF-R6 ด้วยชุดโช้กอัพหน้าแบบ Upside Down แกน 41 มม. จาก KYB ที่สามารถปรับได้แบบเต็มระบบ ทั้ง Preload, Rebound และ Compression ส่วนโช้กอัพหลังมาในแบบ Mono Shock สามารถปรับ Preload และ Rebound จับคู่กับชุดกระเดื่องทดแรง เพื่อการซับแรงสั้นสะเทือนและการทรงตัวที่มีเสถียรภาพมากขึ้น
ถ้าเป็นค่ายญี่ปุ่น ระบบเบรกที่มั่นใจ ต้องยกให้ Yamaha
ส่วนเรื่องระบบเบรกจากโรงงานนั้น Yamaha จัดเป็นแบรนด์หนึ่งที่ไว้ใจได้เสมอ แม้เรื่องแบรนด์ดิ้งอาจเป็นรองฝั่งค่ายยุโรป แต่โหงวเฮ้งและประสิทธิภาพ ถือว่าอยู่ในระดับแนวหน้า โดยมีการปรับรายละเอียดจาก MT-07 ที่ยึดกับโช้กแบบ ISO Mount มาเป็นแบบ Radial Mount พร้อมเปลี่ยนจานหน้าคู่มาเป็นขนาด 298 มม. แบบเดียวกับที่ใช้ในรุ่นพี่อย่าง MT-09 ทำงานร่วมกับคาลิเปอร์ Advics 4 POT แบบ Monoblock ซึ่งด้วยสไตล์ของรถซูเปอร์สปอร์ตที่ต้องการประสิทธิภาพในการเบรกให้สูงขึ้น ในครั้งนี้ Yamaha YZF-R7 จึงได้เลือกจับคู่กับปั๊มบนของ Brembo แบบเรเดียล ประปุกลอย ซี่งต่างกับของ MT-09 ที่มีพละกำลังสูงกว่า ส่วนชุดกระทุ้งหลังนั้น ทางค่าย Yamaha เลือกที่จะใช้แบรนด์ Brembo มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว โดยจับคู่กับปั๊ม Nissin 1 POT พร้อมจานขนาด 245 มม. แม้ว่า Yamaha YZF-R7 จะเน้นเรื่องความดิบในการตอบสนอง โดยไม่ได้มีตัวช่วยอะไรให้เสียความเร้าใจ เช่น Traction Control รวมถึงโหมดการขับขี่ต่างๆ แต่สิ่งหนึ่งที่ขาดไปไม่ได้ นั่นก็คือ ระบบความปลออดภัยด้วย ABS ทั้งหน้า – หลัง
ภาพลักษณ์และสไตล์…สิ่งสำคัญของรถ SuperSport
สิ่งหนึ่งที่ยกระดับของ Yamaha YZF-R7 จนเป็นที่ยอมรับในความเป็นรถซูเปอร์สปอร์ตพันธุ์แท้ ก็คือ เรื่องของภาพลักษณ์ที่ออกแบบมาได้อย่างโฉบเฉี่ยว ดุดัน โดยถอดแบบมาจากรุ่นพี่ในตระกูล R Series มาตั้งแต่หัวจรดท้าย หากมองเทียบกับระหว่าง R1, R6 และ R7 จะรู้สึกได้ทันทีว่า ทั้ง 3 รุ่นนี้ มาพร้อมดีไซน์ที่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน โดยสิ่งที่แตกต่างระหว่างรุ่นพี่ทั้ง 2 อย่างชัดเจนที่สุด คงหนีไม่พ้นตำแหน่งของไฟหน้าแบบ Bi Functional LED ที่ใช้เป็นทั้งไฟส่องสว่างและไฟสูง ซ่อนไว้กลางช่องแรมแอร์ ต่างกับรุ่นพี่ที่แยกเป็น 2 โคม ในแต่ละฝั่งของชุดแฟริ่ง คาแร็กเตอร์พิเศษหนึ่งของ Yamaha YZF-R7 เมื่อมองเป็นภาพจากทางด้านหน้า คือ ความกว้างของตัวรถนั้น น้อยที่สุดเมื่อเทียบกับรถรุ่นอื่นๆ ในตระกูล R Series ด้วยกัน ถังน้ำมันของ Yamaha YZF-R7 มาในขนาด 13 ลิตร มองเผินๆ อาจดูเหมือนน้อย แต่จากประสบการณ์ เมื่อพิจารณาอัตราการบริโภคเชื้อเพลิงของเครื่องยนต์ CP2 บล็อคนี้แล้ว ด้วยถังน้ำมันขนาดนี้ สามารถเดินทางได้ไกลในระยะ 250 กม. แบบสบายๆ ข้อดีของการออกแบบถังน้ำมันให้มีขนาดพอเหมาะ คือ ความกระชับของผู้ขับขี่ ที่สามารถหนีบถังได้อย่างมั่นใจ และรู้สึกไม่ใหญ่เกินสรีระ และที่สำคัญกว่านั้นคือ ไม่ทำให้น้ำหนักของรถมากจนเกินไป โดยเมื่อเติมน้ำมันเต็มถังพร้อมของเหลวเต็มระบบ Yamaha YZF-R7 จะมีน้ำหนักเพียง 188 กก. เท่านั้น
สัมผัสสไตล์ซูเปอร์สปอร์ต พิกัด…กำลังเข้ามือ
สัมผัสแรกที่ขึ้นคร่อม Yamaha YZF-R7 กับตัวผู้ขับขี่ที่มีความสูง 168 ซม. ช่วงขา 77 มม. ด้วยระยะความสูงจากพื้นถึงเบาะ 835 มม. ทำให้สามารถวางเท้าทั้ง 2 ข้าง แตะพื้นได้อย่างมั่นใจ (ถ้าสูง 175 ซม. ขึ้นไป อาจวางเต็มเท้า 2 ข้างได้) นั่นจึงไม่รู้สึกว่าเป็นปัญหา แม้ว่าจะนำมาใช้งานในเมือง หรือขับขี่ทั่วๆ ไป ที่ไม่ใช่ในสนามแข่ง สิ่งหนึ่งที่ต้องชื่นชมเมื่อได้เห็นตัวรถครั้งแรก คือ เรื่องของวัสดุที่ใช้ รวมถึงงานประกอบที่ให้ความรู้สึกแบบพรีเมี่ยมแท้ๆ จุดนี้ถือว่าบิ๊กไบค์จากค่าย Yamaha ทำได้อย่างน่าประทับใจในหลายๆ รุ่น ดีงามในแบบที่รถญี่ปุ่นด้วยกันสู้ยาก และดีกว่ารถยุโรปราคาหลักล้านบางคันเสียอีก ในส่วนของท่านั่ง แม้ชุดแอนด์จะมาในแบบคลิปออนที่จับใต้แผงคอ ในแบบฉบับของรถซูเปอร์สปอร์ตพันธุ์แท้ และพักเท้าออกแบบมาให้ยกสูงและเยื้องไปทางด้านหลังเล็กน้อย แต่เมื่อลองนั่งในท่าทางการขับขี่แล้ว กลับไม่ได้รู้สึกว่าทรมานร่างกายมาก ให้ฟีลที่ทำลังดี กระชับได้ใจ แต่ขี่ทางไกล ดูทรงก็ไม่น่าจะเมื่อยมากเหมือนกับรุ่นพี่อย่าง Yamaha YZF-R1 หรือ YZF-R6 (โดยเฉพาะ R1 รุ่นปี 2015 ท่านั่งโหดร้าย และมีความเป็นสปอร์ตแบบสุดโต่งที่สุด ในบรรดารถสปอร์ตที่เคยขี่มา) สิ่งที่น่าชื่นชมคือ ดีไซน์และการออกแบบถังน้ำมัน ที่ให้ความกระชับในการขับขี่ และสร้างความมั่นใจได้อีกไม่น้อย ช่วยให้การโยกหรือพลิกรถ Yamaha YZF-R7 ทำได้อย่างคล่องตัว (มาก) เนื่องจากบาลานซ์และการวางน้ำหนักที่ดี (หน้า : หลัง อยู่ที่ 51 : 49) รวมถึงองศาคอที่เปลี่ยนไป
ฝนตกกก็ดี…ได้สัมผัสอีกฟีลลิ่ง ที่ชีวิตจริง “ต้องเจอ”
สภาพแวดล้อมที่สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต ในวันที่ได้ทดลองขี่ Yamaha YZF-R7 จากเดิมที่คาดหวังว่า จะได้ลงไปหวดทำความเร็ว แบนโค้งอย่างสะใจ โดยเอาน้ำหนักที่เบาของตัวรถมาเล่นให้เป็นประโยชน์มากที่สุด แต่ในความเป็นจริง มีฝนโปรยปรายลงมาต่อเนื่องตลอด 3 วัน ของการเดินทาง ทำให้รูปแบบและจุดประสงค์ในการทดลองนั้นเปลี่ยนไป ซึ่งหากมองเป็นโอกาสที่ดี นี่คือ การทดลองสมรรถนะในกาารใช้งานจริง ในคอนดิชั่นของรถเดิมๆ ว่าสามารถขี่ในทางเปียกลื่นได้ดีขนาดไหน โดยเฉพาะการขับขี่ในเซ็กชั่นแรก ที่ฝนยังคงลงเม็ด การกระทำต่างๆ ที่อาจก่อให้เกิดความเสี่ยง ทั้งการเดินคันเร่ง, การใช้เบรก, การลดเกียร์ คงต้องทำอย่างเบามือ เพราะในชั่วขณะ ที่เผลทำอะไรไปโดยผลีผลาม ด้วยแรงบิดที่เหลือล้นของ Yamaha YZF-R7 อาจก่อให้เกิดอาการ “ปลิ้น” ได้อย่างที่เราไม่สามารถจินตนาการได้เลยทีเดียว ซึ่งใครที่คาดหวังว่ารถในสไตล์ซูเปอร์สปอร์ตยุค 2020 ขึ้นมา จะต้องมีตัวช่วยหรือระบบประมวลผลเยอะแยะ อาจต้องทำความเข้าใจสักหน่อยว่า ในภาพรวมของพละกำลัง รวมถึงพื้นฐานของ Yamaha YZF-R7 อยู่ในระดับที่ควบคุมง่าย และสิ่งที่ติดตัวมาให้นั้น ถือว่าเพียงพอที่จะทำให้การบังคับควบคุมเป็นไปอย่างปลอดภัย เรียกได้ว่าเป็นซูเปอร์สปอร์ต “ชั้นครู” สำหรับนักบิดหน้าใหม่ หรือ “ตัวจบ” สำหรับนักบิดรุ่นเก๋าที่นิยม “วิถีพอเพียง” ได้อย่างน่าสนใจแล้ว เมื่อเทียบกับงบประมาณในระดับนี้ เพราะหากคาดหวังกับระบบเหล่านั้น…คงต้องยอมจ่ายค่าตัวหลัก “ครึ่งล้านอัพ” เพื่อแลกมา
Crossplane ของดีที่หลายๆ คน…ยังสงสัย ?
พื้นฐานของเครื่องยนต์ Crossplane CP2 ของ Yamaha YZF-R7 ยังคงเป็นรูปแบบเดียวกับที่ประจำการอยู่ใน Yamaha MT-07 ที่มาในพิกัด 2 สูบ ความจุ 689 ซีซี. ระบายความร้อนด้วยน้ำ อัตราส่วนกำลังอัด 11.5 : 1 ให้กำลังราว 73.4 แรงม้า ที่ 8,750 รอบ/นาที พร้อมแรงบิด 67 นิวตัน-เมตร ที่ 6,500 รอบ/นาที ซึ่งลักษณะของเครื่องยนต์ที่เรียกว่า Crossplane นั้น เป็นการวางเลย์เอาท์ของข้อเหวี่ยงและช่วงเวลาของการจุดระเบิดที่แตกต่างกัน 270 องศา (ดูตามในคลิปจะเข้าในหลักการทำงานได้ง่ายมากขึ้น) ความโดดเด่นของเครื่องยนต์ที่มาในรูปแบบนี้ก็คือ การสามารถปลดปล่อยกำลังได้ดีตั้งแต่รอบต่ำ – กลาง และแรงบิดที่มีความสม่ำเสมอ เรียกมาใช้งานได้ต่อเนื่อง อาจเป็นเครื่องยนต์ที่มีสไตล์ขัดกับรถในแนวซูเปอร์สปอร์ตทั่วไป ที่เน้นพละกำลังในรอบสูงเป็นหลัก ความพิเศษอย่างหนึ่งที่มีเฉพาะใน Yamaha YZF-R7 เป็นรุ่นแรกสำหรับเครื่องยนต์บล็อคนี้ คือ การมีชุด Slipper Clutch ที่ช่วยลดอาการกระชากในขณะที่มีกาารลดเกียร์อย่างรวดเร็ว ซึ่งมีประโยชน์มาก สำหรับการขับขี่ในสนามแข่ง เนื่องจากจะช่วยลดแรงฉุดของเครื่องยนต์ ทำให้สามารถรวบเกียร์เพื่อไหลเข้าโค้งได้อย่างเร็วและสมูทมกขึ้น
กดไม่เต็ม…แต่ก็เร็วพอจะสร้างความตื่นเต้นได้อย่างน่าประทับใจ
แม้ว่าองค์ประกอบ และฟีลลิ่งการตอบสนอง อาจดูต่างจากสปอร์ตแท้โดยทั่วไป แต่หากพิจารณาจากความเร็วและอัตราเร่งยอดเยี่ยมของ Yamaha YZF-R7 แล้ว ต้องยอมรับว่า…ไม่ธรรมดา เหมือนที่เราคุ้นเคย จากที่ลองกดในสนามช้างฯ โดยใช้คันเร่งประมาณ 80-90% ความเร็วบนเรือนไมล์แบบ Black Look ทะลุ 190 กม./ชม. แบบสบายๆ แม้ว่าต้องยกคันเร่งเพื่อทิ้งระยะสำหรับลดความเร็วก่อนที่จะเข้าโค้ง 4 ซึ่งหากเป็นความเร็วจากโค้ง 1-3 สามารถทำได้สูงกว่านั้น โดยเพื่อนสื่อบางท่านที่มีทักษะในการขับขี่ที่สูงกว่า สามารถกดได้ราวๆ 205 กม./ชม. เลยทีเดียว ลักษณะการปลดปล่อยกำลังนั้น มีความแตกต่างกับรุ่นพี่ YZF-R6 อย่างสิ้นเชิง โดย R6 เป็นรถที่เน้นพละกำลังในย่านรอบสูง ซึ่งการจะรักษาระดับ Power Band จะต้องเลี้ยงรอบเครื่องยนต์ให้อยู่ในระดับ 8,000 รอบ/นาที ขึ้นไป แต่สำหรับ Yamaha YZF-R7 ไม่ว่าจะเป็นย่านรอบไหนๆ ก็สามารถเรียกกำลังของเครื่องยนต์ รวมถึงแรงบิดออกมาใช้ได้อย่างรวดเร็วและสนุกมือ โดยการต่อเกียร์ของ 2-5 (ในสนาม…ใช้แค่นี้แหละ) ของ Yamaha YZF-R7 ถือว่าทำได้อย่างกระชับและมีความแม่นยำสูง แต่หากใครที่ต้องการความกระชับกว่านี้ ทาง Yamaha ยังมีชุด Quick Shifter เป็นออพชั่นเสริม ที่สามารถติดตั้งได้ทันที เนื่องจากมีสายไฟเดินไว้รออยู่เป็นที่เรียบร้อย
ระบบและองค์ประกอบที่ดี…ช่วยยกระดับความมั่นใจได้มากขึ้น
สิ่งหนึ่งที่น่าสนใจ คือ ชุด Slipper Clutch ที่ติดตั้งมาให้ใน Yamaha YZF-R7 ช่วยให้การชะลอความเร็วในสภาวะที่เปียกลื่นเช่นนี้ ทำได้อย่างปลอดภัยและมั่นใจมากยิ่งขึ้น โดยในขณะที่ลดเกียร์ ชุด Slipper Clutch จะเป็นตัวช่วยลดแรงฉุด เพื่อไม่ให้ล้อหลังล็อค อันเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้รถเสียอาการ เช่นเดียวกับระบบเบรก ABS ที่ในบางครั้ง ผู้ขี่เผลอให้น้ำหนักการเบรกที่ล้อหลังมากจนเกินไป จนทำให้ล้อหลังที่โดยปกติมี Traction ในการเบรกที่ต่ำกว่าล้อหน้าอยู่แล้ว เกิดอาการล็อคได้ง่าย ซึ่งการมีตัวช่วยที่ว่ามา ส่งให้การลดความเร็วในสภาพถนนเปียก ทำได้ง่ายขึ้นมาก โดยเฉพาะกับชุดยาง Bridgestone Batlax S22 ไซส์ 120/70 R17 และ 180/55 R17 ที่ติดมาให้ ผ่านการพิสูจน์มาแล้วว่า มีประสิทธิภาพที่ดีพอ สำหรับการควบคุมรถ และจัดการกับความเร็วในนระดับแตะ 200 กม./ชม. ได้แบบสบายๆ ในสภาพภนนที่เปียกลื่นเช่นนี้
รถที่ดี กับ รถที่ซื้อได้…ต่างกันโดยสิ้นเชิง !
Yamaha YZF-R7 อาจไม่ใช่มอเตอร์ไซค์คันแรก ที่ผู้เขียนได้ลองขี่ในสนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต แล้วบอกว่า…นี่คือ รถที่ดีมากๆ คันหนึ่ง เพราะที่ผ่านๆ มาอาจจะมีรถคันอื่นๆ ที่ทำได้ดี และสนุกได้มากกว่านี้ (ก็ไม่น้อย) แต่สิ่งที่บอกได้อย่างเต็มปาก แบบที่ไม่เคยรู้สึก (หรือยาก) ที่จะพูดกับรถคันไหนๆ ก็คือ รถคันนี้…ซื้อได้ ด้วยองค์ประกอบรวมๆ ที่ลงตัว ทั้งในเรื่องภาพลักษณ์ สไตล์ สมรรถนะ และระดับราคา 339,000 บาท ที่สำหรับคนที่ต้องการซูเปอร์สปอร์ตไบค์มาไว้เรียกอะดรินาลีนในมือสักคัน…ตัดสินใจได้ไม่ยาก (มีรถที่ทำได้ดีกว่า แต่ถ้ารถคันนั้นราคา 7-8 แสน หรือ ล้านอัพ…ผมคงไม่มีหน้ากล้าพูด ว่ารถคันนี้ “ซื้อได้” อย่างแน่นอน) ที่สำคัญ…การซื้อรถคันหนึ่งจากทาง Yamaha Riders’ Club คุณไม่ได้ได้แค่รถ แต่คุณยังได้สังคม ได้มีส่วนร่วมกับกิจกรรมมากมาย เช่น การอบรมการขับขี่บิ๊กไบค์อย่างถูกต้อง, Track Day, รวมถึงการแข่งขันที่ทาง Yamaha จัดให้ได้ปลดปล่อยพละกำลังกันอย่างต่อเนื่อง ซึ่งทั้งหมดนี้…คือ “กำไร” ของผู้ใช้บิ๊กไบค์จาก Yamaha ล้วนๆ
จุดเด่น…พละกำลังที่พอดีคำ, สุุ้มเสียงดุดัน น่าเกรงขาม เมื่อยามใช้ท่อแต่ง, ความคล่องตัวและควบคุมได้ง่าย, ท่าทางการขับขี่ในสไตล์รถซูเปอร์สปอร์ต, Made in Japan และนำเข้า 100%,วัสดุและงานประกอบระดับ 5 ดาว, ราคาที่เกินคุ้ม
ข้อสังเกต…ถ้าเทียบเรื่องความสุดในความเป็นซูเปอร์สปอร์ต ยังเป็นรอง R6 ที่อารมณ์มาเต็มกว่ามาก, ไม่เหมาะกับสาย Hi-Rev, ถ้าเป็นคนที่ต้องการอารมณ์ในการขับขี่ ท่อเดิมจากโรงงาน…อาจไม่ตอบโจทย์