หลังทำตลาดมาแล้วกว่า 5 ปี ในที่สุด ชื่อของ Toyota GR Supra กับรหัสตัวถัง J29 (หรือ A90 ที่กลายคนคุ้นเคย) อาจต้องถึงกาลอวสาน เมื่อทางค่ายส่งเวอร์ชั่นพิเศษในชื่อ Final Edition ออกมาแทนตัวโหด GRMN ที่หลายๆ คนคาดหวัง แต่สิ่งที่น่าสนใจ คือ Toyota GR Supra Final Edition จะได้รับการอัพเกรดมากมาย ทั้งในเรื่องภาพลักษณ์, พละกำลัง อีกทั้งยังจะผลิตออกมาในจำนวนจำกัดเพียง 300 คันทั่วโลก อีกด้วย
จากการคาดการณ์ก่อนหน้านี้…มีการคาดหมายกันว่า ทางค่าย BMW จะยอมปล่อยขุมพลังบล็อค S58 ที่เป็นขุมทรัพย์จากตระกูล M มาให้ Supra ได้ใช้ แต่ในท้ายที่สุด เรื่องนั้นยังคงเป็นหมัน และ Toyota GR Supra ยังคงมาพร้อมขุมพลัง B58 ดังเก่าก่อน แต่สิ่งหนึ่งที่ถูกยกระดับขึ้นมาใน Toyota GR Supra Final Edition ก็คือ ระดับพละกำลัง ที่จากเดิมมีแรงม้าให้ใช้อยู่ที่ 382 ตัว แต่เวอร์ชั่นส่วนท้ายนั้น ถูกอัพกำลังขึ้นมาอยู่ที่ 429 แรงม้า เช่นเดียวกับตัวเลขแรงบิด ที่อัพจาก 500 ขึ้นมาเป็น 570 นิวตัน-เมตร จากขุมพลัง 6 สูบแถวเรียง พิกัด 3.0 ลิตร บล็อคเดิม ซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นถึงความยืดหยุ่นในการโมดิฟาย เพิ่มกำลังในการใช้งานให้สูงขึ้น นอกจากนี้ยังเลือกที่จะจับคู่กับระบบส่งกำลังในรูปแบบเกียร์ธรรมดา 6 สปีด เพื่อเพิ่มความสนุกในการขับขี่ให้กับ Toyota GR Supra Final Edition พร้อมกับเปลี่ยนชุดท่อไอเสียเป็นของแบรนด์ Akrapovic เพิ่มความดุดันในการขับขี่ขึ้นไปอีกขั้น
นอกจากพละกำลังที่สูงขึ้นแล้ว Toyota GR Supra Final Edition ยังได้รับการอัพเกีดเครื่องเคียงมากมาย ไล่มาตั้งแต่ล้ออัลลอยขนาด 19 นิ้ว จาก TGR ที่มีน้ำหนักเบากว่าของสแตนดาร์ด จับคู่อยู่กับชุดคาลิเปอร์จาก Brembo ในด้านหน้า ส่วนล้อหลังมาในขนาด 20 นิ้ว รัดด้วยยาง Michelin Pilot Sport Cup 2 ไซส์ 265/35 Z1R19 และ 285/30 ZR20 ตามลำดับ และเพื่อให้รับกับความแรงที่เพิ่มขึ้น ทางค่ายยังได้อัพเกรดช่วงล่างด้วยการใช้ชุดโช้กอัพประสิทธิภาพสูงจาก KW ที่สามารถปรับเซ็ตได้ตามต้องการ โดยมีการเสริมประสิทธิภาพของชุดช่วงล่างด้วยจุดยึดแพหลังที่ทำจากอลูมิเนียม แบบเดียวกับที่ใช้ในรถแข่ง GT4 และเสริมค้ำทางด้านหน้าเพื่อให้ตัวรถมีความแข็งแรงเพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้ยังได้ปรับค่าการตอบสนองของพวงมาลัย EPS พร้อมเซ็ตค่าแคมเบอร์ใหม่ เพื่อประสิทธิภาพในการยึดเกาะที่ดีมากขึ้น
Toyota GR Supra Final Edition ได้รับการอัพเกรดภาพลักษณ์ด้วยชุดแอโร่ไดนามิคส์คิท ที่ประกอบไปด้วย สปอยเลอร์ทางด้านหน้า และหางหลังแบบ Swan Neck ซึ่งทั้งคู่สร้างจากวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ เช่นเดียวกัน ยังมีการเพิ่มคานาร์ดที่มุมกันชนทั้ง 2 ฝั่ง, เพิ่มช่องดักลมบริเวณฝากระโปรงหน้า รวมถึงเจาะช่องรับลมทางด้านหลัง เผื่อไว้ใช้สำหรับการขับขี่ในรูปแบบ Track Day โดยภายในห้องโดยสารของ Toyota GR Supra Final Edition มากับเซ็ตเบาะจาก Recaro ที่ทำจากคาร์บอนไฟเบอร์ จับคู่กับเข็มขัดนิรภัยสีแดง และบุภายในด้วยหนังอัลคันทารา เพื่มอารมณ์สปอร์ตขึ้นไปอีกขั้น
นอกจาก Toyota GR Supra Final Edition แล้ว ทางค่ายยังได้เพิ่มรุ่น Lightweight Evo ที่จะเริ่มทำตลาดตั้งแต่เดือน มกราคม 2025 ควบคู่กันไปด้วย โดยสิ่งที่แตกต่างของเวอร์ชั่นไล่เบานี้ก็คือ การอัพเกรดเซ็ตเบรกหน้าจาก Brembo ให้มีขนาดใหญ่ขึ้น, เสริมความแข็งแรงด้วยชุดค้ำต่างๆ ทั้งในด้านหน้าและด้านหลัง พร้อมอัพเกรดหางหลังที่ทำจากคาร์บอนไฟเบอร์ ส่วนชุดช่วงล่างและภายใน จะได้รับการอัพเกรดเพื่อให้เหมาะกับการขับขี่ในรูปแบบ Track Use เช่นกัน