ลองจินตานาการดูเล่นๆ หากวันใดวันหนึ่งคุณกำลังขับรถเพลินๆ เลาะโค้งลับตาอยู่บนเขา ในขณะเดียวกันนั้นเอง…พลันมีรถเสียจอดอยู่ข้างทางในมุมอับสายตา งานช้างกำลังมา เพราะมีความเสี่ยงที่จะเกิดการปะทะ ในสถานการณ์เช่นนี้ หากเป็นนักแข่งหรือผู้ที่มีประสบการณ์ในการขับขี่ขั้นสูง อาจจะคิดเร็ว ทำเร็ว แก้ไขสถานการณ์ให้ผ่านพ้นไปได้ แต่หากคุณเป็นนักขับหน้าใหม่ ที่การตัดสินใจหรือทักษะยังเป็นรองบรรดามือโปรอยู่หลายขั้น…ไม่อยากจะคิดเลยจริงๆ ว่าภาพที่จะออกมาหลังจากนั้น จะไปสิ้นสุดในรูปแบบไหน
ด้วยโจทย์ข้อนี้เอง ทำให้สถาบันวิจัยของค่ายรถยนต์ชั้นนำ Toyota Research Institute (TRI) พยายามนวัตกรรมช่วยการขับขี่ในขณะที่เกิดเหตุฉุกเฉิน ที่เรียกว่า Toyota Autonomous Drifting ซึ่งเมื่อช่วงเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ทางค่ายได้เผยนวัตกรรม Toyota GR Supra ที่สามารถโชว์ลีลาดริฟท์ได้แม้จะไม่มีคนควบคุมพวงมาลัย ก่อนที่ล่าสุดค่ายสามห่วงจะถ่ายทอดเทคโนโลยีนี้ไปยัง Lexus LC ในรูปแบบ Prototype ซึ่งดูจะมีความพร้อมสำหรับการผลิตในรูปแบบโปรดักชั่นมากยิ่งขึ้น
สำหรับนวัตกรรม Toyota Autonomous Drifting เป็นเทคโนโลยีอัจฉริยะล่าสุด ที่เน้นผู้ขับขี่เป็นศูนย์กลาง (Human-Centric Intelligent Driving) ซึ่งยังคงให้ผู้ขับขี่ทำหน้าที่ในการควบคุมรถเป็นหลัก เพียงแต่ระบบจะเข้ามาช่วยควบคุมโดยอัตโนมัติ เมื่อประเมินว่าสถานการณ์และอาการของตัวรถล่อแหลมจนอาจจะสร้างปัญหาให้กับผู้ขับขี่ หรือมีโอกาสที่จะเกิดการปะทะ
ในกรณีของ Toyota GR Supra ที่ออกมาก่อนหน้านี้ ใช้รถบบการประมวลผลในรูปแบบที่สามารถคาดการณ์ล่วงหน้าแบบไม่ยึดติด คือ สามารถแก้ไขสถานการณ์ได้อย่างอิสระตามความเหมาะสม โดยจะมีการควบคุมแรงเบรกในแต่ล้ออย่างอิสระ เพื่อรักษาอาการของตัวรถให้อยู่ในระดับที่ควรจะเป็น (ลักษณะคล้ายๆ ABS, TRC, VSC แต่ทำงานโดยประมวลผลได้เร็วและละเอียดกว่ามาก) ผสานการทำงานกับเครื่องยนต์และระบบส่งกำลังที่พร้อมจะปลดปล่อยพละกำลังออกมาได้ในอัตราส่วนที่ควรจะเป็น โดยมีการประมวลผลอย่างละเอียดในระดับ 20 ครั้ง/วินาที เพื่อให้ตัวรถออกลีลาการดริฟท์ได้อย่างสวยงาม
ส่วนการพัฒนาเทคโนโลยี Toyota Autonomous Drifting ในปัจจุบัน มีการใช้ข้อมูล GPS จากดาวเทียมที่มีความละเอียดสูงมาช่วยในการประมวลผลเส้นทาง สภาพการจราจร แต่อย่างไรก็ตาม ทาง Toyota Research Institute (TRI) กำลังอยู่ในระหว่างการศึกษาและพัฒนาระบบ ในการแก้ไขสถานการณ์ทั้งในเชิงปกป้อง และในเชิงป้องกัน เพื่อให้สามารถทำงานได้อย่างสมบูรณ์และไร้ข้อบกพร่อง ก่อนที่จะนำมาใช้จริงในอนาคต โดยสิ่งที่สำคัญที่สุด คงหนีไม่พ้นการที่รถและผู้ขับขี่จะต้องสามารถสื่อสานกันได้แบบ “เข้าใจตรงกัน” เพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาดหรือความตื่นตระหนก หากตัวช่วยเหล่านี้…พร้อมที่จะแสดงพลังเงียบของตัวมันออกมา