หลังจากที่เปิดตัว Porsche Cayenne เจนเนอเรชั่นที่ 3 ในโฉม Face Lift ไปเมื่อเดือนเมษายน ที่ผ่านมา สิ่งที่ทางค่ายฝากไว้ให้รอติดตาม คงหนีไม่พ้น การตามมาในภายหลังของเวอร์ชั่นแรงที่คาดว่าจะมีกำลังกว่า 700 แรงม้า ซึ่งล่าสุด…ทางค่าย Porsche ได้เผยรายละเอียดเพื่อเรียกน้ำย่อย ก่อนที่จะเปิดรับจองอย่างเป็นทางการในเร็วๆ นี้ และพร้อมที่จะส่งมอบภายในเดือนพฤศจิกายน 2023
ก่อนหน้านี้…ในบางประเทศที่มีกฏหมายมลพิษที่เข้มงวด เช่น ใน ยุโรป, ฮ่องกง หรือสิงคโปร์ Porsche Cayenne Turbo GT ถูกยกเลิกการทำตลาด แล้วแทนที่ด้วย ในบอดี้สไตล์คูเป้แบบที่มาพร้อม GT Package ซึ่งให้ภาพลักษณ์ที่มีความดุดันไม่แพ้กัน แต่สำหรับเวอร์ชั่นปี 2024 รถในสไตล์ SUV รุ่นใหญ่ ในชื่อ Porsche Cayenne Turbo GT กลับมาอีกครั้ง โดยมาพร้อมขุมพลัง V8 Twin Turbo พิกัด 4.0 ลิตร ที่ถูกอัพเกรดพละกำลังขึ้นอีก 19 แรงม้า (กำลังสูงสุด 650 แรงม้า) ส่งผลให้ Porsche Cayenne Turbo GT สามารถทำความเร็วจากจุดหยุดนิ่ง ถึงความเร็ว 100 กม./ชม. ได้ในเวลาเพียง 3.3 วินาที และทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 305 กม./ชม. แต่อย่างไรก็ตาม…นี่ไม่ใช่รถที่สามารถทำตลาดได้ในยุโรป
สิ่งที่ยื้อชีวิตให้ Porsche Cayenne รุ่นแรงขั้นสุด สามารถกลับมาทำตลาดได้อีกครั้งในหลายๆ ภูมิภาค โดยเฉพาะในยุโรป ก็คือ การที่ Porsche วางแผนกลยุทธ์ ปรับระบบส่งกำลังให้มาในรูปแบบ V8 Plug-In Hybrid (ณ ปัจจุบัน ยังไม่มีการกำหนดชื่อออกมาอย่างเป็นทางการ แต่คาดว่าอาจจะใช้ชื่อ Porsche Cayenne Turbo S E-Hybrid) ซึ่งแน่นอนว่า นี่จะกลายเป็น Cayenne ที่ทรงพลังที่สุดเท่าที่เคยมีมา โดยทั้งเครื่องยนต์และมอเตอร์ เมื่อรวมกันแล้ว จะให้แรงม้ามากกว่า 700 ตัว นั่นหมายความว่า มอเตอร์เซ็ตนี้ ให้กำลังมากกว่าเซ็ตที่ใช้อยู่ใน Porsche Cayenne Turbo S E-Hybrid เดิม ราวๆ 20 แรงม้า นอกจากนี้ ยังจะมาพร้อมแรงบิดที่มากกว่า 900 นิวตัน-เมตร อีกด้วย
ความน่าสนใจของขุมพลังใหม่สำหรับว่าที่ Porsche Cayenne Turbo S E-Hybrid 2024 ก็คือ การออกแบบเครื่องยนต์ให้สามารถปล่อยกำลังได้สูงสุดกว่า 500 แรงม้า จับคู่กับมอเตอร์ไฟฟ้าที่ให้แรงม้าแตะ 200 ตัว พร้อมการอัพเกรดความจุแบตเตอรี่ให้เพิ่มขึ้นอีก 30% สามารถรองรับการชาร์จได้อย่างรวดเร็วมากยิ่งขึ้น ซึ่งด้วยการอัพเกรดทั้งหมดนี้ จะช่วยยกระดับให้ Porsche Cayenne Turbo S E-Hybrid 2024 สามารถทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 300 กม./ชม. (รุ่นเดิมทำได้ที่ 295 กม./ชม.) และเชื่อว่าจะเป็นคู่แข่งทีสมน้ำสมเนื้อกับ Lamborghini Urus เจนเนอเรชั่นต่อไป ที่พัฒนาบนแพลตฟอร์มเดียวกัน