Home » Mitsubishi Outlander PHEV อย่าเพิ่งบ่นว่า “แพง” ถ้ายังไม่ได้ลอง !!! #ใครฤาจะให้ได้กว่านี้ ?

Mitsubishi Outlander PHEV อย่าเพิ่งบ่นว่า “แพง” ถ้ายังไม่ได้ลอง !!! #ใครฤาจะให้ได้กว่านี้ ?

by Admin clubza.tv

Mitsubishi Outlander PHEV เปิดตัวในบ้านเรามาในช่วงปลายปี 2020 (แม้ว่าเจนเนอเรชั่นรแรกจะเปิดตัวไปตั้งแต่ปี 2013) ซึ่งหลายคนบา่นอุบ ว่ารถอยู่ในช่วงปลายโมเดล และกำลังจะมีการเปลี่ยนโฉม (เปลี่ยนไปแล้วเมื่อไม่นานมานี้) แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นข้อเสียทั้งหมดทีเดียว เพราะจุดเด่นของการเป็นรถที่ขายในช่วงปลายโมเดล คือ ปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น หรือเคยมี มักจะถูกแก้ไขเป็นที่เรียบร้อยในช่วงท้ายอายุ ซึ่งทำให้สามารถใช้งานได้แบบไร้กังวล หรือหากมีปัญหาเกิดขึ้นจริงๆ การแก้ไขนั้นก็สามารถทำได้ง่าย ไม่ต้องงมหาให้เสียอารมณ์และเวลา ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่ง แม้ว่าเมืองนอกจะเปิดตัวเจนเนอเรชั่นใหม่ไปแล้ว แต่ก็มาในรูปแบบเครื่องยนต์สันดาป ที่ดูแล้วก็อาจจะไม่ได้มีจุดดึงดูดอะไรมาก ดังนั้นยังถือว่าโมเดลที่ขายอยู่ในประเทศไทยปัจจุบัน…ยังสามารถใช้งานได้อีกพักใหญ่ ถ้าคุณเป็นคนที่ใส่ใจในเรื่องประสิทธิภาพการขับขี่เป็นสำคัญ

ภาพแบบนี้…หลายคันอาจทำได้ แต่จะทำได้ดีเท่าคันนี้หรือเปล่า…นั่นคือ คำถาม !

สไตล์ของตัวรถ Mitsubishi Outlander PHEV มีการผสมผสานกันระหว่างรถในรูปแบบ SUV และ Wagon หรือเป็นรถในรูปแบบ Crossover ที่เน้นเรื่องประโยชน์การใช้งานที่หลากหลาย ให้ความคล่องตัว (ระดับหนึ่ง) สำหรับการใช้งานทั่วไป เน้นความประหยัดด้วยฟังค์ชั่น EV Mode สำหรับการขับขี่ในเมืองเป็นหลัก โดยทางค่ายเคลมเอาไว้ว่า เมื่อชาร์จไฟเต็ม สามารถวิ่งได้ไกลสุดถึง 55 กม. ด้วยแบตเตอรี่ขนาด 13.8 kWh หรือสร้างความสบายและอรรถประโยชน์ในวันพักผ่อน ด้วยฟังค์ชั่นพิเศษที่ใส่มาให้ เช่น ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ Super All Wheel Control, ระบบการชาร์จไฟกลับด้วยเครื่องยนต์, ชุดปลั๊กไฟ Power Outlet 1500 วัตต์ จนส่งให้ Mitsubishi Outlander PHEV เป็นรถอเนกประสงค์ปลั๊กอินไฮบริดที่ขายดีที่สุดในยุโรป จำนวน 26,673 คัน ในปี 2563 และมียอดจำหน่ายสะสมทั่วโลกกว่า 270,000 คัน

เทียบมิติตัวถัง C-Segment SUV

ในส่วนของมิติตัวถัง เมื่อเทียบกับรถในรูปแบบ C-Segment SUV รุ่นอื่นๆ พบว่า Mitsubishi Outlander PHEV เป็นรองเพียง Haval H6 Hybrid SUV ซึ่งสิ่งที่น่าสนใจ คือ ระยะฐานล้อที่ค่อนข้างยาว (เป็นรองแค่ Subaru Forester) ทำให้พื้นที่ภายในห้องโดยสารมากเป็นอันดับต้นๆ ในคลาส

2 รุ่นย่อย ต่างกันแค่ไหน ? 

Mitsubishi Outlander PHEV ที่ขายอยู่ในประเทศไทย มี 2 รุ่นย่อย คือ รุ่น GT ราคา 1,640,000 บาท และรุ่น GT Premium ราคา 1,749,000 บาท (+109,000บาท) สิ่งที่เพิ่มขึ้นมาในรุ่น Premium คือ

1.ไฟหน้า LED Twin Projector พร้อมฟังค์ชั่นปรับไฟสูงอัตโนมัติ (GT เป็นฮาโลเจน)

2.Adaptive Cruise Control ทำงานจนหยุดนิ่ง ให้ไปต่อ…ต้องกดที่พวงมาลัยให้ระบบเริ่มทำงาน (คล้ายๆ การแตะคันเร่งของรุ่นอื่น) ทำงานด้วยเรด้าร์และกล้องหน้ารถ

3.สัญญาณกะระยะจอดหน้า – หลัง (GT มีแค่หลัง)

4.สวิตช์เปิดฝาท้ายจากภายในรถ

5.การตกแต่งภายในด้วยลายกราฟฟิค (GT เป็นเปียโนแบล็ค)

6.เบาะหนังลวดลาย Diamond Quilting (GT เป็บแบบธรรมดา) ปรับฟ้า 2 ด้าน ทั้ง 2 รุ่น (คนขับมีดันหลัง)

7.ช่องเก็บของหลังเบาะ 2 ฝั่ง (GT เฉพาะฝั่งผู้โดยสาร)

8.เซ็นเซอร์ตรวจจับความเคลื่อนไหวในห้องโดยสาร (GT มีแค่กันขโมย)

9.เตือนการชนหน้าหน้าพร้อมช่วยชะลอความเร็ว, ตัดกำลังเครื่องยนต์ชั่วขณะเมื่อเหยียบคันเร่งอย่างรวดเร็ว, เตือนจุดอับสายตาขณะเปลี่ยนเลน, เตือนเมื่อถอยออกจากช่องจอด

กำลังเหลือๆ ปรับรูปแบบการใช้งานได้หลากหลาย

Mitsubishi Outlander PHEV ขับเคลื่อนด้วยระบบปลั๊กอินไฮบริดที่มาพร้อมคาแร็กเตอร์พิเศษ ซึ่งถ่ายทอดจากรถระดับตำนานในค่ายทั้งตระกูล Pajero และ Evolution คือ มาพร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ Super All Wheel Control โดยจะขับเคลื่อนด้วย เครื่องยนต์ 2.4 ลิตร MIVEC 128 แรงม้า 199 นิวตัน-เมตร และมอเตอร์ไฟฟ้า 82 แรงม้า 137 นิวตัน-เมตร ที่ล้อคู่หน้า ส่วนหน้าที่การขับเคลื่อนล้อหลังเป็นของมอเตอร์ขนาด 95 แรงม้า 195 นิวตัน-เมตร แปรผันการถ่ายทอดกำลังหน้า – หลังในแต่ละรูปแบบการขับขี่ (โหมดการใช้งาน รวมถึงช่วงกำลังในการตอบสนอง) เพื่อเสถียรภาพที่ดี โดยระบบการขับเคลื่อน สามารถปรับเปลี่ยนได้ใน 3 รูปแบบ ทั้ง EV Mode ที่ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าแบบ 100% โดยไม่มีเครื่องยนต์เข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งทำความเร็วสูงสุดได้กว่า 135 กม./ชม., โหมดการขับขี่ทั่วไป จะทำงานในรูปแบบ Series Hybrid หน้าที่การขับเคลื่อนยังเป็นของมอเตอร์ ส่วนเครื่องยนต์จะมีหน้าที่แค่ปั่นไฟ (แม้ว่าหน้าจอจะขึ้นว่าปริมาณแบตฯ เป็น 0% แต่การขับเคลื่อนหลัก จะยังคงอยู่ที่มอเตอร์ โดยมีเครื่องยนต์ติดขึ้นมาเพื่อช่วยปั่นไฟ) แต่หากต้องการกำลังสูงสุด เช่น การแร่งแซง ระบบจะปรับการทำงานเป็นแบบ Parallel Hybrid

C-Segment SUV เทียบพละกำลัง และรูปแบบการขับเคลื่อนในคลาส

ข้อสังเกต…ตามโฆษณา บอกไว้ว่า 305 แรงม้า โดยการนำกำลังที่ได้จากมอเตอร์และเครื่องยนต์ทั้งหมกมา + กัน แต่ในความเป็นจริง ไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ เพราะจะมีช่วง Overlap ของพละกำลัง คือ กำลังสูงสุด ไม่ได้ตอบสนองในช่วงเดียวกันทั้งหมด จึงไม่สามารถนำมาบวกกันแบบตรงๆ ได้ เช่นเดียวกับแรงบิดสูงสุด

ใช้งานไม่เกิน 55 กม./วัน น้ำมัน…แทบไม่ต้องเติม

การชาร์จไฟของ Mitsubishi Outlander PHEV ตัวรถมีฟังค์ชั่นที่สามารถติดเครื่องยนต์เพื่อชาร์จแบตสูงสุด 80% (หากจอดนิ่ง…ใช้เวลาตั้งแต่เริ่มชาร์จ จนถึงเครื่องยนต์ตัดการชาร์จ 1 ชม. 25 นาที สังเกตที่อินดิเคเตอร์แบตเตอรี่บนหน้าจอ ประมาณได้ว่า 80% ตามที่เคลม (ระยะทางขึ้น 56 กม. แต่หลังจากวิ่งไปสัก 2-3 นาที ระยะทางลดลงมาเหลือ 44 กม.) วิ่งในเส้นทางทดสอบในเมืองสลับชานเมือง (หลักสี่ – พระราม 9 – คลองเตย – สาทร – กาญจนาฯ – เพชรเกษม – สาย 4 – ปิ่นเกล้า – จรัลฯ – พงษ์เพชร – แจ้งวัฒนะ – หลักสี่ รวม 100 กม.) ด้วย EV Mode ที่ชาร์จด้วยเครื่องยนต์เพียวๆ สามารถวิ่งได้ 44.8 กม. (ใกล้เคียง 80% เคลม) แต่หากวิ่งไปชาร์จไปเครื่องยนต์จะตัดการทำงานในเวลาประมาณ 1 ชม. 15 นาที ระยะทางบนหน้าจอขึ้นมาที่ 43 กม. พร้อมอินดิเคเตอร์ราว 80% เช่นกัน ส่วนการชาร์จด้วยหัวชาร์จแบบ Quick Charge (ชาเดอโม่) ใช้เวลาประมาณ 25 นาที จะได้ไฟมา 80% (วิ่งได้ราว 44 กม.)

ถ้านับแค่รถที่ขับเคลื่อนสี่ล้อ แน่นอนว่า Mitsubishi Outlander PHEV เป็นรถที่ประหยัดที่สุดในคลาส

สำหรับการชาร์จ Mitsubishi Outlander PHEV แบบปกติด้วยหัวไทป์ 1 ใช้เวลาประมาณ 4 ชม. (หากชาร์จด้วยเครื่องยนต์จนได้ 80% และเสียบไฟบ้านต่อ จะใช้เวลาไม่เกิน 2 ชม. เป็นการชาร์จแบบเต็ม 100% ที่เร็วที่สุด แต่หากเกินความจำเป็นและสิ้นเปลืองมากกว่า) ลองวิ่ง EV Mode ในเส้นทางและคอนดิชั่นเดียวกัน พบว่าปริมาณไฟ 100% หมดลงที่ระยะทาง 54.7 กม. (ถือว่าใกล้เคียงมากๆ กับระยะ 55 กม. ที่เคลมไว้) นั่นหมายความว่า สำหรับผู้ใช้รถที่ขับขี่ต่อวันไม่เกิน 55 กม. สามารถใช้งาน Mitsubishi Outlander PHEV ได้แบบไม่ต้องเติมน้ำมันเลยก็ยังได้ หากมีการชาร์จไฟอย่างต่อเนื่อง โดยการขับขี่ในระยะทาง 100 กม. ให้อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง 36.2 กม./ลิตร และอัตราการใช้ไฟฟ้า 6.3 กม./kwh ด้วยความเร็วเฉลี่ยช่วง EV 27.x กม./ชม. ความเร็วเฉลี่ยตลอดทริป 33.x กม./ชม. (ไม่ได้ขับเร็วขึ้น แต่ในช่วงครึ่งหลังของการขับ สภาพการจราจรลดความแออัดลง ความเร็วเฉลี่ยในการเดินทางจึงสูงขึ้น) เทียบอัตราสิ้นเปลืองกับเพื่อนร่วมคลาส เป็นรองแค่ MG HS PHEV แต่จะเทียบกันตรงๆ คงไม่ได้ เพราะ HS ขับเคลื่อนด้วย 2 ล้อหน้า ทำให้น้ำหนักเบากว่าถึง 155 กก.

ด้วยข้อดีของมอเตอร์ไฟฟ้า ทำให้ Mitsubishi Outlander PHEV เร่งความเร็วได้อย่างยอดเยี่ยม และมีเสถียรภาพในการขับขี่ที่น่าประทับใจ

อัตราเร่ง Mitsubishi Outlander PHEV จาก V Box ในช่วงความเร็วและโหมดต่างๆ

การวิ่งหาอัตราเร่ง Mitsubishi Outlander PHEV ในรูปแบบ EV Mode ไม่สามารถทำได้ เนื่องจากในช่วงที่เริ่งความเร็วขึ้นมา เครื่องยนต์จะตัดการทำงานเป็นแบบ Series และ Parallel Hybrid เพื่ออัตราเร่งและความเร็วสูงสุด

ข้อสังเกต…นอกจากเรื่องพละกำลัง ที่ดูจะได้น้ำได้เนื้อแล้ว สิ่งหนึ่งที่น่าชื่นชมมากใน Mitsubishi Outlander PHEV คือ แม้จะเป็นรถที่แม้จะเซ็ตช่วงล่างมาค่อนข้างนุ่ม เน้นเรื่องความสบายในการใช้งานเป็นหลัก แต่กลับให้เสถียรภาพในการทรงตัวในระดับที่ดี (มาก) โดยเฉพาะในการเข้าโค้งอย่างรวดเร็ว หรือกับการวิ่งในสภาพเส้นทางที่แทร็กชั่นไม่สูง โดยเฉพาะพื้นกรวดที่เป็นเสมือนทางที่ชี้ว่า Mitsubishi Outlander PHEV เกิดมาเพื่อสิ่งนี้ รวมถึงความสมูทในการส่งถ่ายกำลังที่ทำได้แบบเนียนๆ ดูฉลาดและให้ความต่อเนื่องที่ดีเยี่ยม

ราคาเหมือนแพง แต่เมื่อเทียบกับเพื่อร่วมคลาสแล้ว Mitsubishi Outlander PHEV ยังมีหลายอย่างที่คันอื่นๆ ให้ไม่ได้

สิ่งหนึ่งที่หลายคนมองว่า Mitsubishi Outlander PHEV ไปไกลเกินตัว นั่นคือ เรื่องของราคา แต่หากพิจารณาในความเป็นจริงแล้ว เมื่อเทียบกับรถมาพร้อมสมรรถนะการขับขี่และองค์ประกอบที่ใกล้เคียงกันแล้ว จะพบว่า Mitsubishi Outlander PHEV รุ่น GT Premium ในราคา 1,749,000 บาท ยังอยู่ในระดับต่ำกว่าเพื่อนร่วมคลาสอย่าง Honda CR-V รุ่นย่อย DT-EL 4WD และ Mazda CX-5 รุ่นย่อย D-XDL   อยู่ 10,000 และ 41,000 บาท ตามลำดับ แต่กระนั้นแล้ว ด้วยเพดานราคาในระดับนี้ ทำให้ตัวเลือกนั้นเปิดกว้างมาก สำหรับรถในหลากหลายรูปแบบ เช่น Ford Ranger Raptor ราคา 1,699,000 บาท, Ford Everest 2.0 Bi-Turbo Titanium+ 4×4 ราคา 1,799,000 บาท, Toyota Fortuner Legender 2.8 2WD ราคา 1,769,000 บาท, Mitsubishi Pajero Sport GT-Premium 4WD ราคา 1,599,000 บาท หรือกระโดดไปเล่นรุ่นใหญ่อย่าง Mazda CX-8 2.5 SP ที่ปรับราคาลงมาเหลือเพียง 1,699,000 บาท

 

 

 

 


ข่าวแนะนำ

เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้ เพื่อสร้างประสบการณ์นำเสนอคอนเทนต์ที่ดีให้กับท่าน รวมถึงเพื่อจัดการข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์ที่ดีบนบริการของเว็บไซต์เรา หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไปโดยไม่มีการปรับตั้งค่าใดๆ นั่นเป็นการแสดงว่าท่านอนุญาตยินยอมที่จะรับคุกกี้บนเว็บไซต์และนโยบายสิทธิส่วนบุคคลของเรา ยอมรับ เรียนรู้เพิ่มเติม

Privacy & Cookies Policy