ถือเป็นการเปิดตัวที่ปลุกกระแสวงการรถ B-Segment ให้ลุกเป็นไฟอีกครั้ง สำหรับการกลับมาของ Sub Compact Car อย่าง MG3 Hybrid+ ที่สร้างปรากฎการณ์ด้วยค่าตัวเริ่มต้นเพียง 5.59 แสนบาท ซึ่งแม้ว่าอาจจะไม่ใช่ราคาเริ่มต้นที่ต่ำที่สุดในท้องตลาด แต่ด้วยจุดเด่นความเป็นรถในรูปแบบไฮบริด ที่ให้ได้ทั้งสมรรถนะ และความประหยัดในหนึ่งเดียว ส่งให้น้องใหม่อย่าง MG3 Hybrid+ สร้างแรงกระเพื่อมในตลาดได้อย่างน่าสนใจเลยทีเดียว
MG3 Hybrid+ เปิดตัวมาด้วย 2 รุ่นย่อย คือ รุ่น D ราคา 559,000 บาท และรุ่น X ราคา 599,000 บาท (ช่วงแนะนำ 1,000 คันแรก) ซึ่งมีส่วนต่างราคาอยู่ 40,000 บาท แน่นอนว่า…แต่ลุรุ่นถือว่ามีความคุ้มค่าในตัวเองอยุ่ไม่น้อย แต่หากต้องการจะเปรียบเทียบแล้ว เพื่อให้เห็นภาพมากขึ้น #ทีมขับซ่า จะมามาดูรายละเอียดในแต่ละจุดของ ว่า MG3 Hybrid+ ในแต่ละรุ่นนั้น มีจุดไหน ที่เหมือนหรือต่างกันบ้าง เพื่อให้ผู้ที่สนใจ เลือกรุ่นย่อยให้ตรงกับความต้องการของตัวเองได้มากที่สุด
ออพชั่นที่มีเหมือนกันใน MG3 Hybrid+ รุ่น D และรุ่น X
MG3 Hybrid+ | รายละเอียด |
ภายนอก | – มิติตัวถัง 1,797 x 4,113 x 1,502 มม. – ระยะฐานล้อ 2,570 มม. – ระยะต่ำสุดจากพื้น 117 มม. – ล้อ-ยาง 195/55 R16 – ไฟหน้า LED พร้อมระบบเปิด – ปิด อัตโนมัติ – ก้านปัดน้ำฝนด้านหลัง |
เครื่องยนต์และระบบส่งกำลัง | – เบ็นซิน 1.5 ลิตร พ่วงมอเตอร์ไฮบริด และเกียร์ E-AT 3 สปีด – กำลังรวม 194 แรงม้า พร้อมแรงบิด 250 นิวตัน-เมตร – แบตเตอรี่ไฮบริด 1.83 kWh – 3 โหมดขับขี่ พร้อมระบบ KERS 3 ระดับ – อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย 26.2 กม./ลิตร |
ออพชั่นอำนวยความสะดวก | – เบาะผู้ขับขี่ปรับ 6 ทิศทาง และผู้โดยสารปรับ 4 ทิศทาง – เบาะหลังพับได้แบบ 60:40 – จอแสดงผลการขับขี่ขนาด 7 นิ้ว – จออินโฟเทนเม้นท์ 10.2 นิ้ว – Apple Carplay และ Android Auto แบบไร้สาย – ช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารตอนหลัง |
ระบบความปลอดภัย | – ระบบความปลอดภัยขั้นพื้นฐาน – เบรกมือไฟฟ้าพร้อมฟังค์ชั่น Auto Vehicle Hold – ระบบควบคุมการเบรกขณะเข้าโค้งด้วยความเร็ว – ระบบตรวจสอบความผิดปกติของแรงดันลมยาง – ถุงลมนิรภัย 6 ตำแหน่ง – สัญญาณเตือนระยะถอยหลัง |

ขุมพลัง Hybrid+ กับหมัดเด็ด เร่ง 0-100 กม./ชม. ได้ใน 6.9 วินาที พร้อมทำอัตราสิ้นเปลืองในระดับกว่า 25 กม./ลิตร เมื่อวิ่งใช้งานจริงในช่วงความเร็วช่วง 90-110 กม./ชม.
หากดูจากข้อมูลในตารางจะพบว่า MG3 Hybrid+ รุ่น D แม้ว่าจะเป็นรุ่นเริ่มต้น แต่ก็จัดอุปกรณ์พื้นฐานที่น่าสนใจมาแบบไม่แพ้รุ่น X เลยเดียว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของภาพลักษณื ที่มาพร้อมล้อและยางในขนาดเดียวกัน เซ็ตช่วงล่างในรูปแบบเดียวกัน ให้ระบบเบรกแบบดิสค์เบรกทั้ง 4 ล้อมาเหมือนๆ กัน นอกจากนี้…ยังมีจุดขายด้วยขุมพลัง Hybrid+ ที่ให้กำลังขับเคลื่อนรวมถึง 194 แรงม้า กับแรงบิดสูงสุด 250 นิวตัน-เมตร อัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ของ MG3 Hybrid+ นั้น ข้อมูลจากต่างประเทศเคลมเอาไว้ที่ 8 วินาที แต่หากเทียบจากการทดสอบโดยใช้เครื่องมือ VBox Sport ของ #ทีมขับซ่า อัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ที่ทำได้…ป้วนเปี้ยนอยู่ในระดับ 6.9 วินาที ซึ่งต้องยอมรับว่า MG3 Hybrid+ เป็นรถซับคอมแพคท์คาร์ที่มีสมรรถนะร้อนแรงไม่เป็นรองใคร และทำตัวเลขได้ดีที่สุดในคลาสเลยทีเดียว

พวงมาลัยมัลติฟังค์ชั่น, ช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารตอนหลัง, Apple Carplay และ Android Auto แบบไร้สาย…อุปกรณ์มาตรฐานทั้งในรุุ่น D และรุ่น X
นอกจากนี้แล้ว MG3 Hybrid+ ทั้ง รุ่น D และรุ่น X ยังมาพร้อมอุปกรณ์หลักๆ ภายในห้องโดยสารแบบเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็น หน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่ขนาด 7 นิ้ว พร้อมด้วยหน้าจออินโฟเทนเม้นท์ขนาด 10.2 นิ้ว ที่รองรับการเชื่อมต่อ Apple Carplay และ Android Auto แบบไร้สาย โดยในพื้นที่โดยสารตอนหลัง ยังเพิ่มความสบายและสะดวกต่อการใช้งานด้วยช่องแอร์ รวมถึงการพับเบาะในรูปแบบ 60:40 เรื่องของความปลอดภัยก็เช่นกัน MG3 Hybrid+ ทั้ง รุ่น D และรุ่น X มาพร้อมฟังค์ชั่นพื้นฐานแบบครบถ้วน โดยมาพร้อม เบรกมือไฟฟ้าพร้อมฟังค์ชั่น Auto Vehicle Hold, ติดตั้งถุงลมนิรภัย 6 ตำแหน่ง, ใส่ระบบควบคุมการเบรกขณะเข้าโค้งด้วยความเร็ว, ระบบตรวจสอบความผิดปกติของแรงดันลมยาง รวมถึงเซ็นเซอร์ช่วยกะระยะขณะถอยหลัง
เทียบอุปกรณ์ที่ต่างกันใน MG3 Hybrid+ รุ่น D และรุ่น X
MG3 Hybrid+ | รุ่น D | รุ่น X |
ภายนอก – กระจกมองข้างพร้อมไฟเลี้ยว – ระบบปัดน้ำฝนหน้า | – พับมือ – แบบปรับหน่วง | – พับไฟฟ้า – แบบอัตโนมัติ |
ออพชั่นอำนวยความสะดวก – เบาะนั่ง – Wireless Charge – กล้องมองภาพ | – หนังสลับผ้า สีดำ – ไม่มี – ด้านหลัง | – หนังสลับผ้า สีทูโทน – มี – รอบทิศทางแบบ 3 มิติ |
ระบบความปลอดภัย – ระบบเปิด-ปิดไฟสูงอัตโนมัติ – ระบบช่วยเตือนการชน พร้อมช่วยเบรก – ระบบควบคุมความเร็ว – ระบบช่วยควบคุมให้อยู่ในเลน | – ไม่มี – ไม่มี – อัตโนมัติ – ไม่มี | – มี – มี – อัตโนมัติ แบบแปรผันความเร็ว – มี พร้อมดึงกลับอัตโนมัติ |
ราคา (บาท) | 559,000 | 599,000 (เพิ่ม 40,000 บาท) |
สิ่งที่เป็นความต่างระหว่าง MG3 Hybrid+ ทั้ง รุ่น D และรุ่น X ทางด้านนอก หากสังเกตด้วยตา อาจจำแนกความแตกต่างได้ยากสักหน่อย โดยทั้งคู่นั้น มีความแตกต่างเพียงกระจกมองข้าง ที่ในรุ่น X จะเป็นแบบพับไฟฟ้า ส่วนในรุ่น D ต้องใช้วิธีการพับแบบอัตโนมือ เช่นเดียวกับระบบปันน้ำฝน ที่ในรุ่นท็อปนั้น จะมาพร้อมฟังค์ชั่นเปิด – ปิด และปรับความเร็วอัตโนมัติ
จุดต่างที่สังเกตได้ง่ายที่สุดของ MG3 Hybrid+ ระหว่างรุ่น D และรุ่น X คงหนีไม่พ้น สีภายในห้องโดยสาร ที่ในรุ่น D นั้น จะมาในสีดำล้วน ส่วนในรุ่น X เพิ่มความน่าสนใจขึ้นอีกเล็กน้อย ด้วยการเลือกใช้สีทูโทนดำ – ขาว พร้อมทั้งเพิ่มสิ่งอำนวยความสะดวกอย่าง Wireless Charger และกล้องมองรอบทิศทางแบบ 3 มิติ มาให้ ส่วนในรุ่น D นั้น จะมีเฉพาะกล้องมองทางด้านหลัง นอกจากนี้…จุดต่างที่สำคัญของ MG3 Hybrid+ ก็คือ ในรุ่น X จะมีระบบช่วยเหลือการขับขี่ พร้อมระบบความปลอดภัยขั้นสูง หรือ ADAS มาให้ โดยประกอบไปด้วย ระบบเปิด-ปิดไฟสูงอัตโนมัติ, ระบบช่วยเตือนการชน พร้อมช่วยเบรก, ระบบช่วยควบคุมให้อยู่ในเลน และระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน ซึ่งรองรับการทำงานในทุกย่านความเร็ว
หากมองในภาพรวมจะพบว่า ในระดับราคาตั้งแต่ 5 แสนกลางๆ ไม่ข้าม 6 แสนบาท MG3 Hybrid+ นับว่าเป็นน้องใหม่ที่ตอบโจทย์ในเรื่องความคุ้มค่า โดยเฉพาะกับเรื่องสมรรถนะ และความประหยัด ที่ผสานแนวทางไปด้วยกันได้อย่างลงตัว โดยส่วนต่าง 40,000 บาทนั้น ก็ดูจะสมเหตุสมผลกับสิ่งที่ได้มา แต่หากไม่ต้องการฟังค์ชั่นใดๆ มากมายนัก ตัวเริ่มต้น 559,000 บาท ก็ดูจะเพียงพอแล้วสำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวันทั้งในและนอกเมือง