Home » Mercedes-Benz E-Class Estate ทางเลือกใหม่สำหรับนักขับสายพ่อบ้าน

Mercedes-Benz E-Class Estate ทางเลือกใหม่สำหรับนักขับสายพ่อบ้าน

by Admin clubza.tv
Mercedes-Benz E-Class Estate

แม้ว่า พ.ศ. นี้ จะเป็นยุคที่ SUV ครองเมือง แต่ในท้ายที่สุดแล้ว คงไม่ใช่ทุกคนที่ต้องการรถอเนกประสงค์ยกสูง ที่ขาดซึ่งความคล่องตัว เมื่อเทียบกับรถในรูปแบบซีดาน แฮทช์แบค หรือรถในสไตล์อื่นๆ นั่นเองจึงเป็นที่มาให้ทางค่าย Mercedes-Benz ปล่อยทางเลือกที่หลากหลายออกมา โดยก่อนหน้านี้ เป็นคิวของ Compact Estate ในตระกูล C-Class และในคราวนี้…ทางค่ายยังนำเสนอรถในรูปแบบแวกอนของรุ่นพี่ในตระกูล E-Class ออกมาอีกด้วย

Mercedes-Benz E-Class Estate (S214)

แน่นอนว่าการปรากฏตัวของ Mercedes-Benz E-Class Estate จะเป็นเครื่องยืนยันได้อย่างชัดเจนว่า รถในสไตล์แวกอนพิกัดมิดไซส์ จะได้ทำคตลาดต่อไปอีก 1 รุ่น หลังจากที่ก่อนหน้านี้ มีข่าวออกมาว่า ค่าย Mercedes-Benz เตรียมจะเลิกทำตลาดรถในรูปแบบนี้ภายในปี 2030 ซึ่งในช่วงนี้คงเป็นโอกาสอีกพักใหญ่ๆ ที่สาวกค่ายดาวสามแฉกจะมีโอกาสได้สัมผัสรถอเนกประสงค์ในสไตล์ที่แตกต่างจาก SUV หรือ Crossover ที่หลายคนคุ้นเคยในยุคนี้ โดยนอกจาก C และ E-Class Estate แล้ว ยังมีอีกรุ่นที่ทำตลาดอยุ่ ณ ปัจจุบัน นั่นก็คือ CLA Shooting Brake

Mercedes-Benz E-Class Estate ในรหัส S214

ซึ่งเป็นรถในสไตล์แวกอนรุ่นใหญ่ที่สุดของแบรนด์ ณ เวลานี้ มีขนาดโดยรวมที่ใหญ่กว่าเจนเนอเรชั่นก่อนเล็กน้อย มีระยะฐานล้ออยู่ที่ 2,961 มม. (ยาวกว่ารุ่นก่อน 22 มม.) ส่งผลให้ตัวรถมีพื้นที่ Leg Room มีมากขึ้นตามไปด้วย ในทำนองเดียวกัน ความกว้างถูกขยายออก 28 มม. เป็น 1,880 มม. ส่งผลต่อความสบายของผู้โดยสารทั้งในด้านหน้าและด้านหลังเช่นเดียวกัน โดยมิติตัวรถโดยรวมของ Mercedes-Benz E-Class Estate อยู่ที่ 1,880 x 4949 x 1469 มม. หรือเพิ่มขึ้น 28, 4 และ 1 มม. ตามลำดับ เมื่อเทียบกับรุ่นก่อน

ด้านพื้นที่สัมภาระของ Mercedes-Benz E-Class Estate มาพร้อมความจุในระดับ 615 ลิตร และจะเพิ่มเป็น 1,830 ลิตร เมื่อพับเบาะ สำหรับรุ่นที่ใช้เครื่อยนต์สันดาปล้วนๆ ส่วนในรุ่นที่เป็นปลั๊กอินไฮบริด ซึ่งต้องแบ่งพื้นที่ส่วนหนึ่งให้กับแบตเตอรี่ พื้นที่สัมภาระจะลดลงมาเหลือ 460 ลิตร และจะเพิ่มเป็น 1,785 ลิตร เมื่อพับเบาะ โดยชุดเบาะในด้านหลังของ Mercedes-Benz E-Class Estate สามารถแยกพับได้อย่างอิสระ 40 : 20 : 40 ด้านฝาท้ายมาพร้อมฟังค์ชั่นเปิด – ปิด ด้วยไฟฟ้า ซึ่งให้มาเป็นอุปกรณ์มาตรฐานในทุกรุ่นย่อย

ด้วยภาพลักษณ์ที่ชวนมอง เชื่อว่า Mercedes-Benz E-Class Estate

เจนเนอเรชั่นนี้ น่าจะเป็นรถที่สามารถทำยอดขายได้ดีกว่า GLE ในตลาดทั่วโลก ดีไซน์ในภาพรวมได้รับการออกแบบให้มีค่าสัมประสิทธิแรงเสียดทานที่ต่ำลงเหลือเพียง 0.26 (จาก 0.27 ในรุ่นก่อน) โดยล้ออัลลอยที่ทางค่ายจัดไว้ให้ มาพร้อมทางเลือกที่หลากหลาย ตั้งแต่ 17 จนถึง 21 นิ้ว จับคู่กับเซ็ตช่วงล่าง ที่จะมีให้เลือก 2 รูปแบบ คือ ชุดช่วงล่าง Air Spring หรือ ถุงลมแบบมาตรฐาน และชุดช่วงล่างในรูปแบบ Two Axle Airmatic (เป็นออพชั่นให้เลือก)

ห้องโดยสารของ Mercedes-Benz E-Class Estate

เรียกได้ว่าถอดแบบมาจากเวอร์ชั่นซีดานที่เปิดตัวไปในช่วงเดือนเมษายน ที่ผ่านมา โดยชุดคอนโซลหน้า มาพร้อมเซ็ตหน้าจอแบบ 3 จอ แยกอิสระสำหรับผู้โดยสารแต่ละที่นั่ง โดยจะมาพร้อมชุดกล้องที่ติดตั้งบริเวณคอนโซล ซึ่งสามารถใช้งานได้อย่างหลากหลาย ทั้งเพื่อการประชุมออนไลน์, การถ่ายเซลฟี่ หรือสร้างคอนเท้นท์บนโลกออนไลน์ เช่น Tiktok

Mercedes-Benz E-Class Estate

จะทำตลาดในยุโรปช่วงแรกด้วยรุ่นย่อย E200 และ E220d ก่อนที่ในอนาคตจะปล่อยรุ่นปลั๊กอินไฮบริด E300e ตามออกมา โดยในรุ่นเครื่องยนต์เบ็นซิน E200 มาพร้อมขุมพลังเบนซิน เทอร์โบ 2.0 ลิตร พร้อมระบบ Mild Hybrid มีกำลังอยู่ที่ 204 แรงม้า พร้อมแรงบิด 320 นิวตัน-เมตร (บวกกำลังจากมอเตอร์อีก 23 แรงม้า และ 205 นิวตัน-เมตร ในช่วงสั้นๆ) สามารถทำอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ได้ภายใน 7.8 วินาที และทำความเร็วสูงสุด 231 กม./ชม. ส่วนรุ่นเครื่องยนต์ดีเซล มากับเครื่องยนต์ 2.0 ลิตร เทอร์โบ พ่วงมอเตอร์ Mild Hybrid 48 โวลต์ ให้กำลัง 197 แรงม้า กับแรงบิด 440 นิวตัน-เมตร ทำอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ได้ใน 7.9 วินาที ทำความเร็วสูงสุดได้ที่ 230 กม./ชม. และแน่นอนว่าสำหรับรุ่นไฮไลท์ Mercedes-Benz E300e Estate จะมาพร้อมเครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร พ่วงมอเตอร์ไฟฟ้า ที่ให้กำลังรวมทั้งระบบ 312 แรงม้า ตัวเครื่องยนต์ มีกำลังเท่ารุ่น E200 แต่พ่วงมอเตอร์ที่มีกำลัง 129 แรงม้า กับแรงบิด 440 นิวตัน-เมตร เข้าไป โดยจับคู่กับแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนขนาด 25.4 kWh รองรับการเดินทางต่อชาร์จได้ไกลกว่า 100 กม. ตามมาตรฐาน WLTP อัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ของรุ่นปลั๊กอินไฮบริด เคลมไว้ที่ 6.5 วินาทีนอกจาก 3 สเปคเครื่องยนต์ที่ได้พูดถึงไปแล้ว ในอนาคต Mercedes-Benz E-Class Estate ยังจะมาพร้อมทางเลือกที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นรุ่นที่ใช้ขุมพลังดีเซล V6 ในรหัส E350d, รุ่นดีเซลปลั๊กอินไฮบริด E350de หรือแม้แต่รุ่นแรงในตระกูล AMG ที่ในรุ่นท็อป จะมีกำลังมากกว่า 700 แรงม้า (ทุกรุ่นที่กล่าวมา ส่งกำลังด้วยชุดเกียร์ 9G-Tronic) ซึ่งจะเป็นคู่แข่งที่สำคัญของ Audi RS6 Avant และ BMW M5 Touring ที่มีแพลนว่าจะเปิดตัวในปี 2025

 

Mercedes-Benz GLS 2024 หรูหรา หลากหลาย ล้ำสมัยกว่าที่เคยมีมา !


ข่าวแนะนำ

เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้ เพื่อสร้างประสบการณ์นำเสนอคอนเทนต์ที่ดีให้กับท่าน รวมถึงเพื่อจัดการข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์ที่ดีบนบริการของเว็บไซต์เรา หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไปโดยไม่มีการปรับตั้งค่าใดๆ นั่นเป็นการแสดงว่าท่านอนุญาตยินยอมที่จะรับคุกกี้บนเว็บไซต์และนโยบายสิทธิส่วนบุคคลของเรา ยอมรับ เรียนรู้เพิ่มเติม

Privacy & Cookies Policy