หลังจากที่ในช่วงปลายปีก่อน ค่าย Mercedes-Benz สร้างปรากฏการณ์ในวงการรถยนต์พลังงานไฟฟ้า หรือ EV Car ด้วยการส่งพี่ใหญ่อย่าง Mercedes-EQS บุกตลาดภายใต้ซับแบรนด์ใหม่ ที่ถือกำเนิดขึ้นเป็นครั้งแรก ในอีกไม่กี่เดือนให้หลัง ค่ายดาวสามแฉกก็สร้างความฮือฮาอีกครั้งด้วยการส่งรุ่นน้องในตระกูล EQE ซึ่งการมาในครั้งนี้ มีเป้าหมายที่ชัดเจนในความเป็นซีดานสมรรถนะสูง ที่เป็นการผสานกันระหว่างแบรนด์ Mercedes-AMG และ Mercedes-EQ เข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว
Mercedes-AMG EQE 43 4MATIC
Mercedes-AMG EQE 53 4MATIC+
การออกแบบของ Mercedes-AMG EQE ยังคงเอกลักษณ์ในความเป็นรถตระกูล EQ และ AMG เอาไว้ เช่น การใช้กระจังหน้าแบบปิดทึบ ซึ่งวางลายเส้นในแนวตั้ง จับคู่กับกระจังหน้าดีไซน์สปอร์ต พร้อมแอโร่พาร์ทที่เป็นหัวใจหลักในการสร้างแอโร่ไดนามิคส์ ซึ่งความพิเศษในการออกแบบคือ แม้จะเป็นรถที่สร้างดาวน์ฟอสได้มาก แต่แรงกดนั้นถือว่ามีผลต่อการสร้างแรงต้านการเคลื่อนที่น้อยมาก ส่วนภายในห้องโดยสารของ Mercedes-AMG EQE แน่นอนว่าได้รับการตกแต่งในสไตล์สปอร์ตเต็มขั้น โดยเป็นการผสานระหว่างหนังสังเคราะห์ Artico สลับกับ Dynamica Microfiber เย็บด้วยด้ายสีแดง หรือหากไม่ถูกใจยังสามารถเลือกหนังแท้ Nappa ได้ด้วย การตกแต่อื่นๆ เช่น พวงมาลัย, แป้นคันเร่ง, ชุดพรม มาพร้อมโลโก้ AMG เต็มรูปแบบ ส่วนหน้าจอกลางเป็น Hyperscreen วางงเรียง 3 จอ ยาวขวาจรดซ้าย
Mercedes-AMG EQE เปิดตัวมาใน 2 รุ่นย่อย
เริ่มต้นเบาๆ ด้วย EQE 43 4MATIC และปิดท้ายด้วยรุ่นพี่ที่เร้าใจขึ้นไปอีกขั้นอย่าง EQE 53 4MATIC+ หากลงลึกไปในรายละเอียดของทั้งคู่ สิ่งที่เหมือนกันคือ ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ 4MATIC ซึ่งนั้นหมายความว่า Mercedes-AMG EQE ทั้งคู่ มาในรูปแบบ 2 มอเตอร์ แยกกำลังขับเคลื่อนระหว่างล้อคู่หน้าและหลัง โดยจุดที่เน้นเป็นพิเศษก็คือ การอัพเกรดชุดมอเตอรืไฟฟ้าจาก AMG ที่มีความยืดหยุ่นในเรื่องการระบายความร้อน ช่วยสร้างเสถียรภาพของตัวมอเตอร์ให้สามารถทำงานได้อย่างต่อเนื่อง ในสภาวะที่มีการเร่งความเร็วต่อกันหลายๆ ครั้ง ก็ยังคงไว้ซึ่งประสิทธิภาพการทำงานในระดับสูงสุด โดยใช้โครงสร้างที่เรียกว่า Water Lance รวมถึงชุดครีบระบายความร้อนที่ติดตั้งไว้กับเสื้ออินเวอร์เตอร์ซึ่งทำจากเซรามิคเกรดสูง โดยในโหมด Sport ชุดมอเตอร์จะปลดปล่อยกำลังออกมาถึง 90% เพื่อให้ผู้ขับขี่ได้สนุกกับการควบคุม ส่วนการขับขี่ในโหมด Comfort ระบบจะลดกำลังลง 15-20% แต่หากต้องการทำกำลังแบบเต็ม 100% จะทำได้เฉพาะในโหมด Sport+ และ Race Start เท่านั้น
โดยอีกสิ่งหนึ่งที่ Mercedes-AMG EQE ให้ความสำคัญคือ ประสิทธิภาพในการจัดการแบตเตอรี่ด้วยซอฟท์แวร์ที่มีการอัพเกรดอย่างต่อเนื่องผ่านข้อมูลแบบ over-the-air ซึ่งจะช่วยปรับการทำงานของระบบให้สอดคล้องกับสภาพการใช้งานของตัวรถ เพื่อการส่งถ่ายกำลังและจัดการแบตเตอรี่ที่มีประสิทธิภาพสูงสุด นอกจากนี้ทีมวิศวกรผู้ออกแบบ Mercedes-AMG EQE ยังให้ความสำคัญกับการยืดอายุการใช้งานของแบตเตอรี่ ด้วยฟังค์ชั่น Eco Charge ซึ่งช่วยลดภาระของแบตเตอรี่ในระหว่างการชาร์จ ที่ส่งผลให้การเสื่อมของแบตเตอรี่นั้นช้าลง โดยสามารถตั้งเวลาในการชาร์จในช่วงเวลา Off Peak ได้ และตัวแบตเตอรี่ยังมีฟังค์ชั่นการปรับอุณหภูมิให้เหมาะสมสำหรับการชาร์จในครั้งต่อไป และที่ขาดไม่ได้ คือ การชาร์จไฟกลับเข้าสู่แบตเตอรี่ในขณะที่ลดความเร็ว ซึ่งผู้ขับขี่สามารถเลือกระดับได้ตามต้องการ
โดย Mercedes-AMG EQE 43 4MATIC ให้กำลัง 469 แรงม้า พร้อมกับแรงบิด 858 นิวตัน-เมตร ซึ่งแบกตัวถังจากจุดหยุดนิ่งให้เคลื่อนผ่านความเร็ว 100 กม./ชม. ได้ภายใน 4.2 วินาที และทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 210 กม./ชม. ซึ่งแน่นอนว่า…เป็นความเร็วที่ถูกล็อคเอาไว้ ด้วยเหตุผลด้านการรักษาระดับพลังงานจากชุดแบตเตอรี่ขนาด 90.6 kWh ที่เคลมระยะการเดินทางไว้ระหว่าง 462 – 533 กม. (เป็นตัวเลขที่ถูกทดสอบด้วยช่วงการใช้งานจริงในรูปแบบต่างๆ) โดยแบตเตอรี่เซ็ตนี้ รองรับการชาร์จไฟกระแสสลับสูงสุด 11 kWh (ชาร์จเต็มใน 8 ชม. ครึ่ง) หรือหากความแรงในการชาร์จยังไม่จุใจ สามารถเลือกออพชั่นเป็น 22 kWh ได้ตามต้องการ ส่วนการชาร์จด้วยไฟกระแสตรง หรือ DC Fast Charge สามารถรองรับกำลังไฟสูงสุด 170 kWh ซึ่งเท่ากับว่าหากคุณใช้เวลาในการชาร์จประมาณ 15 นาที จะสามารถเดินทางได้ไกลถึง 180 กม. เลยทีเดียว
แม้ว่า Mercedes-AMG EQE 43 4MATIC จะมีสเป็คโดยรวมที่น่าสนใจอยู่แล้ว แต่สำหรับผู้ที่ต้องการความ “สุด” ไปอีกขั้น ทางค่ายยังเตรียมรุ่นพี่อย่าง Mercedes-AMG EQE 53 4MATIC+ มาไว้เป็นทางเลือก โดยกำลังที่ทำได้จากการอัพเกรดชุดมอเตอร์ไฟฟ้านั้น อยู่ที่ 617 แรงม้า พร้อมกับแรงบิด 950 นิวตัน-เมตร ที่ส่งผลให้ EQE 53 4MATIC+ ทำอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ได้ในเวลาเพียง 3.5 วินาที และทำความเร็วสูงสุดได้เพิ่มอีก 10 กม./ชม. แต่สิ่งที่ต้องเข้าใจคือ ระยะทางในการวิ่งก็จะน้อยลงเหลือเพียง 444 – 518 กม. ต่อการชาร์จเท่านั้น แต่หากคุณไม่ซีเรียสเรื่องระยะทาง และต้องการสมรรถนะสูงสุด ทางค่ายยังมีแพคเกจ AMG Dynamic Plus ให้เลือก โดยการอัพเกรดชุดนี้ จะมีการขยับแรงม้าเพิ่มขึ้นเป็น 677 ตัว และเพิ่มแรงบิดเป็น 1,000 นิวตัน-เมตร ซึ่งส่งให้อัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ลดลงเหลือเพียง 3.3 วินาที รวมถึงขยับความเร็วสูงสุดให้เพิ่มขึ้นเป็น 240 กม./ชม.
Mercedes-AMG EQE มาพร้อมโหมดการขับขี่ AMG Ride Control+
ที่ทำงานพร้อมชุดช่วงล่างแบบ Air Matic พร้อมยางประสิทธิภาพสูง Michelin Pilot Sport EV ที่ออกแบบมาสำหรับการใช้งานในรถยนต์ไฟฟ้าโดยเฉพาะ นอกจากนี้ยังเพิ่มความคล่องตัวในการใช้งานด้วยระบบการเลี้ยวที่ล้อหลัง ซึ่งชุดล้อจะสามารถปรับองศาเพื่อสร้างเสถียรภาพในการขับขี่ทุกย่านความเร็วได้ถึง 3.6 องศา โดยหากวิ่งด้วยความเร็วต่ำกว่า 60 กม./ชม. ล้อจะเลี้ยวในทิศทางตรงข้าม ส่วนหากเกินความเร็วดังกล่าว ล้อหลังและหลังจะเลี้ยวไปในทิศทางเดียวกัน ในเรื่องฟีลลิ่งการขับขี่ของ Mercedes-AMG EQE จะมาพร้อมเสียงสังเคราะห์ที่ออกแบบมาเฉพาะตัว ระบบนี้จะปรับรูปแบบใหห้เหมาะสมในแต่ละโหมดการขับขี่ โดยสำหรับ Mercedes-AMG EQE 53 4MATIC+ ที่มาพร้อมฟังค์ชั่น AMG Dynamic Plus Package ที่ปรับค่าต่างๆ ได้อย่างละเอียดมากยิ่งขึ้น
สิ่งที่เป็นความโดดเด่นของรถในตระกูล AMG หลากหลายรุ่น ก็คือ เรื่องประสิทธิภาพของระบบเบรกที่ทำได้อย่างน่าสนใจ โดย Mercedes-AMG EQE มาพร้อมชุดคาลิเปอร์แบบ 6 POT จับคู่จานหน้าขนาด 415 มม. ซึ่งนอกจากจะให้ความสามารถในการลดความเร็วได้สูงแล้ว ยังปรับให้ตอบสนองได้อย่างนุ่มนวล ส่วนชุดเเบรกหลังเป็นคาลิเปอร์ 1 POT จับคู่จาน 378 มม. แต่หากยังไม่หนำใจ ทาง AMG ยังมีตัวเลือกด้วยชุดจานเบรกเซรามิคขนาด 440 มม. ซึ่งมีข้อแม้ว่า ล้อที่จะใช้กับจานเบรกชุดนี้ได้ จะต้องมาในไซส์ 21 นิ้ว ขึ้นไป เท่านั้น
