Home » เมื่อ #ทีมขับซ่า ได้เป็นหนึ่งในคนที่ 150+ ที่ได้ขับ McLaren Elva ไฮเปอร์คาร์ค่าตัว 200 ล้านบาท !!!

เมื่อ #ทีมขับซ่า ได้เป็นหนึ่งในคนที่ 150+ ที่ได้ขับ McLaren Elva ไฮเปอร์คาร์ค่าตัว 200 ล้านบาท !!!

by Admin clubza.tv
McLaren Elva Track Day Experience

หลังจากที่ McLaren Elva (แมคลาเรน อีลว่า) ไฮเปอร์คาร์ค่าตัว 200 ล้านบาท เปิดตัวในประเทศไทยได้เพียง 2 วัน ทาง McLaren Bangkok ก็เปิดโอกาสให้ลูกค้าที่จองรถ McLaren พร้อมสื่อมวลชนระดับ Top 5 ของประเทศไทย เข้าร่วมการทดสอบสมรรถนะของ McLaren Elva ในสนามพีระ อินเตอร์เนชันแนล เซอร์กิต ในกิจกรรมที่มีชื่อว่า McLaren Elva Track Day Experience ซึ่งนี่ถือเป็นครั้งแรกของการเปิดโอกาสให้สื่อมวลชน ได้สัมผัสกับยนตรกรรมในตระกูล Ultimate Series ที่มีเพียง 149 คันในโลก เท่านั้น !!!

McLaren Elva ไฮเปอร์คาร์ลำดับที่ 5 ในตระกูล Ultimate Series

McLaren Elva ถือเป็นไฮเปอร์คาร์ในลำดับที่ 5 ต่อจาก McLaren F1, P1, Senna และ Speedtail สร้างขึ้นจากแรงบันดาลใจของ McLaren M1A อันเป็นไอคอนิคที่ได้รับการกล่าวขานมากที่สุดในยุค 60 กับความตั้งใจที่จะออกแบบให้ตัวผู้ขับขี่ ได้รับรู้ถึงความรู้สึกรอบๆ ตัว ให้ได้สัมผัสกับตัวผู้ขับขี่โดยตรง ด้วยการดีไซน์ให้ตัวรถมาในรูปแบบ Open Roof หรือ ไม่มีหลังคา รวมถึงชุดกระจกบังลมหน้า โดยความพิเศษของ McLaren Elva อยู่ที่การเป็นรถที่มีเพียง 149 คันในโลก ซึ่งแต่ละคันจะได้รับการออกแบบและตกแต่งโดยแผนก McLaren Special Operations หรือ MSO ในรูปแบบ 100% Custom ซึ่งนั้นส่งให้รถ McLaren Elva ทั้ง 149 คันในโลกนั้น จะมีภาพลักษณ์ที่ไม่ซ้ำกันเลยแม้แต่คันเดียว นั่นคงเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ไฮเปอร์คาร์รุ่นนี้ มีค่าตัวในระดับถึง 200 ล้านบาท !!! ส่วนอีกหนึ่งความพิเศษ คือ หากคุณเป็นหนึ่งในผู้ครอบครอง McLaren Elva คุณจะเป็นหนึ่งในผู้ที่ได้สิทธิ์สำหรับซื้อรถในตระกูล Ultimate Series อย่าง Mclaren P1 เจนเนอเรชั่นต่อไปได้ในทันที ซึ่งปกติแล้ว เงื่อนไขในการจะครอบครองรถที่ “โคตรจะพิเศษ” แบบนี้…ไม่ได้มีมาง่ายๆ อย่างแน่นอน

Ultimate Series ตระกูลนี้ แค่มีเงิน…คงซื้อไม่ได้

เห็นไม่มีหลังคา ไม่มีกระจกบังลมหน้าแบบนี้ (รถคันที่นำมาให้ทดสอบ เป็นเวอร์ชั่นที่มีกระะจกบังลมหน้า เนื่องจากเป็นข้อกำหนดของการจดทะเบียนเพื่อสามารถขับขี่ได้บนท้องถนนสำหรับบางประเทศ) แต่ในความเป็น McLaren Elva ถือว่ามีฟังค์ชั่นพิเศษ ที่ช่วยลดลมที่จะมาปะทะตัวผู้ขับขี่ รวมถึงป้องกันการเปียกในขระที่ขับขี่ตอนฝนตก (ไม่นับการขับขี่ที่ความเร็วต่ำ…ที่ยังไงก็เปียก) โดยระบบดังกล่าวนั้นมีชื่อเรียกว่า Active Air Management System หรือ AAMS ที่จะทำหน้าที่แหวกลม เสมือนสร้าง Bubble ภายในห้องโดยสาร ไม่ให้มาปะทะกับตัวผู้ขับขี่โดยตรง ในขณะที่รถขับขี่ด้วยความเร็วสูง ลมที่มาจากทางช่องรับลมด้านหน้าจะไหลผ่านช่องบริเวณฝากระโปรง ที่ออกแบบมาให้สามารถปรับยกขึ้นได้อีก 15 ซม. เพื่อปรับทิศทางการไหลของลมให้เลยสูงกว่าระดับของการนั่งในห้องโดยสาร ส่วนในย่านความเร็วต่ำระบบจะปิดการทำงานเพื่อให้มีลมปะทะตัวผู้ขับขี่ลดความร้อนของร่างกาย (ถ้าไม่ต้องการใช้ AAMS สามารถเลือกปิดการใช้งานได้เช่นกัน) นอกจากนี้แล้ว ใน McLaren Elva ยังมีระบบ Air Brake Active ที่ปีกท้ายจะยกตัวขึ้นเพื่อช่วยสร้างแรงกดด้านท้ายเบรก ในขณะที่เบรกอย่างรุนแรง และแม้จะเป็นรถที่ไม่มีหลังคา แต่ไม่เรื่องต้องกังวลว่าฝนจะมาทำลายความสวยงามของไฮเปอร์คาร์อันเป็นที่รักให้มัวหมอง (เหรอ ?) เพราะวัสดุและชิ้นส่วนภายในของ McLaren Elva ทั้งหมด ออกแบบมาให้สามารถกันน้ำได้

ไม่มีหลังคา แต่สบายใจได้ เพราะวัสดุที่ใช้…กันน้ำ

M840TR ขุมพลังแบบเดียวกับที่ประจำการใน McLaren Senna แต่…อยู่ในบอดี้ที่เบากว่าเกือบ 40 กก.

ขุมพลังที่ประจำการใน McLaren Elva เป็นเครื่องยนต์ในรหัส M840TR แบบ V8 พิกัด 4.0 ลิตร ทวินเทอรโบ ที่ให้กำลัง 815 แรงม้า พร้อมกับแรงบิดถึง 800 นิวตัน-เมตร ขับเคลื่อนด้วยล้อคู่หลังผ่านชุดเกียร์ Dual Clutch 7 สปีด ซึ่งเราอาจคุ้นเคยกับเครื่องยนต์บล็อคนี้กันมาบ้างแล้ว เพราะเป็นบล้อคเดียวกับที่ประจำการอยู่ใน McLaren Senna แต่ความโดดเด่น (กว่า) เมื่อมันมาอยู่ใน McLaren Elva ก็คือ เรื่องของน้ำหนักตัวรถ ด้วยโครงสร้างและชิ้นส่วนที่ทำจากคาร์บอนไฟเบอร์โมโนค็อกทั้งคัน หากไม่นับของเหลวใดๆ ทั้งสิ้น จะอยู่ที่เพียง 1,148 กก. !!! แต่หากรวมของเหลว + น้ำมันเต็มถัง ตามสเป็คเคลมเอาไว้ที่ 1,274 กก. ซึ่งก็เท่ากับว่าอัตราส่วนระหว่างแรงม้าต่อน้ำหนักของ McLaren Elva อยู่ที่เพียง 1 : 1.56 หรือ แรงม้า 1 ตัว แบกน้ำหนักเพียง 1.56 กก. เท่านั้น (จินตนาการง่ายๆ คือ น้ำหนักพอๆ กับรถ Eco Car 1 คัน แต่มีกำลังเหมือนเครื่องของรถเหล่านั้น 10 ตัว รวมกัน) นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ McLaren Elva สามารถทะยานจากจุดหยุดนิ่งถึงที่ความเร็ว 100 กม./ชม. ในเวลาเพียง 2.8 วินาที และทำความเร็วจาก 0-200 กม./ชม. ได้ในเวลา 6.8 วินาที แม้จะเป็นรถที่ขับเคลื่อนด้วยล้อคู่หลัง แต่ก็คงไม่น่าประหลาดใจนัก เพราะยางคู่หลังที่ให้มา เป็นถึง Pirelli P Zero Corsa ขนาดถึง 305/30 R20 เลยทีเดียว

ในช่วงของการขับขี่ในสนาม McLaren Elva ในสนามพีระ อินเตอร์เนชันแนล เซอร์กิต แม้จะเป็นช่วงสั้นๆ แต่ที่พูดได้เต็มปากเลยก็คือ ฟีลลิ่งและความเร้าใจของยนตรกรรมในรูปแบบไฮเปอร์คาร์นั้น…ประทับใจอย่างหาที่เปรียบไม่ได้อย่างแน่นอน มันเป็นเสมือนการปลดล็อคการเข้าสู่นิพพานของการเป็นสื่อยานยนต์สายทดสอบ เพราะไม่ว่าต่อจากนี้คุณจะต้องเจอรถคันไหนๆ มันคงแทบจะไม่มีความรู้สึกใดๆ ที่ “สุด” ได้มากกว่านี้ ลองจินตนาการดูเล่นๆ ว่าจะมีกี่ครั้งกันเชียวในชีวิตนี้ ที่คุณจะมีโอกาสได้แตะรถคันละ 200 ล้านบาท !!! และวันนี้…#ทีมขับซ่า เป็นหนึ่งคนที่ 150+ นอกจาก 149 คนทั่วโลก ที่ได้เป็นเจ้าของ McLaren Elva เท่านั้น ที่จะได้สัมผัสความเป็นสุดยอดของไฮเปอร์คาร์ในตระกูล Ultimate Series คันนี้ ด้วยความที่เป็นรถที่ไม่มี “ท่อนบน” การจะก้าวขึ้นรถ McLaren Elva แต่ละครั้ง จึงแตกต่างกับการขึ้นรถทั่วๆ ไปอย่างสิ้นเชิง โดย Elva นั้น ออกแบบขอบประตูให้อยู่ในตะแหน่งต่ำ เพื่อให้ผู้ขับขี่และผู้โดยสารสามารถก้าวขึ้นรถได้ง่าย ในทำนองเดียวกัน เบาะรองนั่งออกแบบมาให้มีช่วงรองขาค่อนข้างสั้น เพื่อให้เวลาที่ก้าวขึ้นรถ สามารถยืนเพื่อจัดท่าทางก่อนที่จะหย่อนตัวลงในเบาะในรูปแบบ Bucket Seat ซึ่งให้ความรู้สึกที่ค่อนข้างโอบกระชับ ซึ่งคงพอดีตัวได้มากกว่านี้ หากคุณเป็นผู้ที่ครอบครอง McLaren Elva เป็นของตัวเอง

ในช่วงแรกนั้น #ทีมขับซ่า นั่งในตำแหน่งผู้โดยสารก่อน โดยมีทีม Instructure จากทาง McLaren คอยให้คำแนะนำอย่างใกล้ชิด สิ่งหนึ่งที่สัมผัสได้ในฟีลลิ่งการนั่งของ McLaren Elva คือ การตอบสนองของตัวรถนั้น มีความตรงไปตรงมาค่อนข้างสูง แปลให้เข้าใจง่ายๆ คือ ตัวรถสามารถสั่งแอคชั่นต่างๆ ได้ง่าย เนื่องจากมีขีดจำกัดในการบังคับควบคุมสูงมากนั่นเอง อัตราเร่งสามารถทำได้อย่างโดดเด่น น่าประทับใจ ระยะจากช่วงออกโค้งสุดท้ายก่อนทางตรงยาวถึงสะพานลอยที่จะข้ามไปยังฝั่งสนามโกคาร์ท ความเร็วไต่ขึ้นไปสูงระดับแตะ 210 กม./ชม. ได้แบบสบายๆ (มีรถคันเดียว ท อัตราเร่งขึ้นเร็วจนรู้สึกเหวอไปบ้าง แต่จะยังเป็นผู้นั่งในตำแหน่งข้างคนขับ โดยตัวรถมีออกอาการดีดดิ้นเป็นสีสันเล็กน้อยในช่วงความเร็วแตะ 200 กม./ชม. ซึ่งในช่วงความเร็วดังกล่าว เป็นช่วงที่ตัวรถมีการปรับแพคเกจแอโร่ไดนามิคส์โดยอัตโนมัติ เพื่อให้พร้อมรับกับความเร็วที่สูงขึ้น (ความเร็วสูงสุดที่รถคันนี้ทำได้คือ 326 กม./ชม.) ซึ่งหากเป็น McLaren Elva ที่คัสตอมในรูปแบบที่ไม่มีประจกบังลมหน้า หมวกกันน็อคเป็นตัวช่วยสำคัญที่ขาดไม่ได้ในช่วงความเร็วเกินจากนี้ นอกจากนี้แล้ว สิ่งที่เป็นตัวฟ้องว่า McLaren Elva เป็นรถที่มีขีดจำกัดในการเคลื่อนไหวสูงก็คือ การสร้างแรงยึดเกาะในการเข้าโค้ง ที่สามารถทำได้ดีอย่างที่ตัวผู้เขียนของ #ทีมขับซ่า (ไม่นับ คุณสุรมิส และ คุณภาคภูมิ (หรือพี่ปลิ้นของเรา) ที่ผ่านสมรภูมิโหดร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำมาแล้วทุกรูปแบบ) คงไม่เคยมีโอกาสได้สัมผัสแรง G ในระดับนี้มาก่อน

เมื่อพอรู้ฟีลของ McLaren Elva กันแบบคร่าวๆ แล้ว ก็คงจะได้ฤกษ์แล้วที่ #ทีมขับซ่า จะได้ลงหวด McLaren Elva ได้จับพวงมาลัย เดินคันเร่งรถในระดับ 200 ล้าน ด้วยสองมือและสองเท้าของตัวเองเสียที สิ่งเดียวที่รู้สึกว่าตัวผู้เขียนนั้น “พลาดมากๆ” สำหรับการมาทดสอบ McLaren Elva ในครั้งนี้ หลังจากได้ลองนั่ง คือ การที่ไม่ได้หยิบเอาหมวกกันน็อคคู่ใจของตัวเอง ที่มีความกระชับกว่ามากมาด้วย นั่นจึงทำให้สมาธิในการขับขี่หดหายไปจากการทดสอบ McLaren Elva อยู่พอสมควร เนื่องจากต้องละมือมาจัดท่าทางของหมวกกันน็อคที่จะลงมาบังตาอยู่เรื่อยๆ เมื่อต้องเจอกับความเร็วสูงหรือการเข้าโค้งอย่างรุนแรง แต่แน่นอนว่า…ไหนๆ ก็มาแล้ว งานนี้ไม่ใส่เต็ม ก็เกือบเต็มแบบเท่าที่พอจะทำได้อย่างแน่นอน !!! สิ่งหนึ่งในความเป็น McLaren Elva นอกจากเรื่องของอัตราเร่งที่มีความโดดเด่นด้วย Power : Weight Ratio ที่ทำได้ดีแล้ว คือ เรื่องของฟีลลิ่งและสัมผัสในการตอบสนองของการขับขี่ที่ซื่อตรง ชุดเกียร์ Dual Clutch แบบ 7 สปีด สามารถส่งถ่ายกำลังได้อย่างต่อเนื่องแบบไร้รอยต่อ Seamless Shift Gearbox (SSG) แบบเดียวกับที่เราจะพบเจอได้ในรถแข่งเท่านั้น กำลังคือ มาตามเท้าอย่างที่ต้องการในทุกการสัมผัสและให้น้ำหนักที่คันเร่ง นั่นจึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ ที่เวลาเผลอเดินคันเร่งช่วงปลายโค้งแรงๆ ตัวรถ McLaren Elva จะมีอาการเหมือนจะ “ท้ายออก” ทุกครั้ง แต่นั่นคงไม่ใช่ปัญหา ด้วยระดับการทำงานของระบบควบคุม Variable Drift Control (VDC) ที่มีความละเอียดสูง ทำให้ผู้เขียนสามารถสนุกกับการเดินคันเร่งอย่างบ้าคลั่งได้อย่างเต็มที่ โดยที่ไม่ต้องกังวลว่าตัวรถจะเสียอาการจนคุมไม่อยู่ (ซึ่งหากไม่ต้องคอยจัดทรงหมวกกันน็อคใหม่เข้าที่เข้าทางในหลายๆ ครั้ง คงจะสนุกกว่านี้) แต่ในภาพรวม ถือว่าเป็นรถที่รีดอะดรินาลีนในร่างกายให้ออกมาได้แบบหมดเปลือกจริงๆ

ตายตาหลับ…เมื่อครั้งหนึ่งในชีวิต ได้มีโอกาสขับรถคันละ 200 ล้านบาท !!!

การบังคับควบคุม McLaren Elva ในขณะเข้าโค้ง เป็นไปอย่างแม่นยำ สั่งซ้ายไปซ้าย สั่งขวาไปขวา ด้วยเวลาและจังหวะที่มีความเฉียบคมในแบบที่เราอาจไม่เคยจินตนาการมาก่อนว่า การมาเลี้ยวในจุดที่ลึกขนาดนี้จะททำให้สามาถผ่านโค้งไปได้โดยที่รถไม่ออกอาการอะไรให้หวาดเสียว มาถึงตรงนี้แล้ว หลายท่านที่ติดตามอ่านคงพอเข้าใจ หรืออินกับคำว่า “ความรู้สึกที่ซื่อตรง” ที่ผมต้องการจะสื่อในความเป็น McLaren Elva คันนี้บ้างแล้วไม่มากก็น้อย ยิ่งหากเอาฟีลลิ่งการเบรกเข้ามาวัดด้วย อันนั้นคือ ชัดสุดๆ แบบที่ไม่รู้จะหาความรู้สึกแบบไหนมาเทียบให้ชัดได้มากกว่านี้ ฟีลลิ่งการเซ็ตน้ำหนักในการเบรกของ McLaren Elva จะว่าไปแล้ว ทีมออกแบบคงตั้งใจเซ็ตมาให้สามารถส่งแรงเบรกได้อย่างเป็นธรรมชาติมากที่สุด แต่แน่นอนว่า ด้วยวิธีการให้น้ำหนักเบรกในรูปแบบนั้น มันอาจจะสวนทางกับวิธีการใช้เบรกสำหรับรถทั่วไป ที่แตะเบาๆ รถก็ให้การตอบสนองที่มากในระดับที่มั่นใจด้วยกลไกการผ่อนแรงที่ไม่สร้างภาระและความกังวลให้กับผู้ใช้ ต่างกับใน McLaren Elva รวมถึงรถซูเปอร์หรือไฮเปอร์คาร์อื่นๆ ที่เน้นการเซ็ตน้ำหนักให้เป็นธรรมชาติที่สุด เวลาที่ให้น้ำหนักเบรกเบาๆ อาจจะรู้สึกเหมือนกับว่ารถจะเบรกไม่อยู่ มีอาการไหลแบบที่เราไม่คุ้นชิน แต่จริงๆ แล้ว…หาเป็นเช่นนั้นไม่ เพราะในขระที่คุณเติมแรงในการเบรกเข้าไปมากขึ้น ระบบเบรกของตัวรถ McLaren Elva จะยิ่งให้การตอบสนองต่อการสร้างแรง G ในฝั่งลบให้สูงขึ้นอย่างที่เราจินตนาการไม่ถึง ซึ่งรถโดยส่วนใหญ่ที่มีขายอยู่ในท้องตลาด ระยะเบรกหากใส่แรงแบบเต็มร้อยจาก 100 กม./ชม. จนหยุดนิ่งจะอยู่ที่ราว 38 เมตร แต่สำหรับ McLaren Elva อยู่ที่ไม่เกิน 30 เมตร ซึ่งถือว่าเหนือกว่าแบบไม่สามารถเอามาเทียบกันได้ แต่หากทั้งนี้ทั้งนั้น ต้องรู้วิธีที่จะงัดประสิทธิภาพสูงสุดของระบบออกมาใช้ ซึ่งนั่นก็คือ การใส่แรงเข้าไปมากขึ้นนั่นเอง

200 ล้าน…คุ้มหรือไม่ คงไม่สามารถตอบได้ แต่แน่นอนว่า “สุด” และเป็น “โอกาส” ของการต่อยอดที่น่าสนใจจนไม่อาจปฏิเสธ

หลังจากที่ทดสอบเป็นที่เรียบร้อย มีลูกค้าท่านหนึ่งเดินเข้ามาถามผู้เขียนจาก #ทีมขับซ่า ว่ารู้สึกอย่างไรบ้างกับ McLaren Elva คันนี้ แล้วคือ คุ้มค่าไหมสำหรับ 200 ล้านบาท คำถามแรกนั้น…ตอบไม่ยาก เพราะนี่คือ “รถที่บริสุทธิ์” ที่นึกอยากได้อะไร รถก็พร้อมที่จะตอบสนองได้อย่างที่เราจินตนาการ สั่ง 1 ได้ 1 สั่ง 100 ได้ 100 ไม่ผิดเพี้ยน มีอารมณ์ความดิบจากสุ้มเสียงที่ปลายท่อไอเสียที่แยกโทนเสียงต่ำ – สูง ในตำแหน่งที่ชัดเจน รวมถึงมีลมปะทะตัวให้ผู้ขับขี่ได้รู้สึกถึงเสียงลม เสียงจากพื้นได้แบบไม่มีอะไรมาขวางกั้น ส่วนอีกหนึ่งคำถามนั้นตอบยาก เพราะคำว่า “คุ้มค่า” ของแต่ละคน…ไม่เหมือนกัน แต่สำหรับโดยส่วนตัวผู้เขียนแล้ว คำว่า “คุ้มค่า” ไม่เคยมีอยู่แล้วสำหรับสิ่งของในระดับราคาแบบนี้ สิ่งเดียวที่มี คือ คำว่า “สุด” ที่ได้ครอบครอง รวมถึงโอกาสในการต่อยอด ที่จะได้ครอบครอง “คันที่สุดหรือใช่กว่า” ในโอกาสต่อไป !!!McLaren Elva McLaren Elva


ข่าวแนะนำ

เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้ เพื่อสร้างประสบการณ์นำเสนอคอนเทนต์ที่ดีให้กับท่าน รวมถึงเพื่อจัดการข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์ที่ดีบนบริการของเว็บไซต์เรา หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไปโดยไม่มีการปรับตั้งค่าใดๆ นั่นเป็นการแสดงว่าท่านอนุญาตยินยอมที่จะรับคุกกี้บนเว็บไซต์และนโยบายสิทธิส่วนบุคคลของเรา ยอมรับ เรียนรู้เพิ่มเติม

Privacy & Cookies Policy