หลังจากที่ปล่อยทีเซอร์ออกมาเมื่อช่วงสัปดาห์ก่อน เมื่อถึงเวลา Honda ก็มาตามนัด โดยปล่อย Honda NSX Type S สปอร์ตระดับไอคอนิคจากประเทศญี่ปุ่น เจ้าของฉายา Japanese Super Car ออกมาให้ทั่วโลกได้ยลโฉม โดย Honda NSX Type S มาพร้อมพละกำลังที่เกรียวกราดมากยิ่งขึ้น ยกระดับความเร้าใจ รวมถึงฟีลสิ่ง และสมรรถนะในการควบคุมขึ้นไปอีกขั้น ว่ากันว่า นี่คือ Honda NSX ที่เร็ว แรง และขับดีที่สุด เท่าที่เคยมีมา !
รุ่นสุดท้ายก่อนกลายร่างสู่ Super Car EV
Honda NSX เจนเนอเรชั่นที่ 2 นั้น เปิดตัวมาตั้งแต่ปี 2016 ในรูปแบบของสปอร์ตชั้นเลิศจากประเทศญี่ปุ่น จนบางคนถุึงกับขนานนามว่า นี่คือ Japanese Super Car โดยแท้ ซึ่ง Honda NSX เจนฯ 2 นี้ มาพร้อมขุมพลัง V6 เทอร์โบ พ่วงด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า 3 ตัว โดยตัวแรกทำงานร่วมกับชุดเกียร์และเครื่องยนต์เพื่อขับเคลื่อนล้อคู่หลัง ส่วนอีก 2 ตัว แยกเพื่อช่วยขับเคลื่อน 2 ล้อหน้า อย่างอิสระ นั่นทำให้ Honda NSX เป็นรถที่ขับเคลื่อนสี่ล้อที่มีความสมบูรณ์แบบรุ่นหนึ่งของโลก โดยมีกำลังในการขับเคลื่อนสูงสุดถึง 573 แรงม้า ซึ่งด้วยอายุของโมเดลที่นานกว่า 5 ปี รวมถึงเทรนด์ในการพัฒนารถยุคใหม่ๆ นั้นเปลี่ยนแปลงไปอย่างชัดเจน ทำให้ทางค่าย Honda ตัดสินใจที่จะยุติการผลิต Honda NSX ในเวอร์ชั่นที่ยังคงใช้เครื่องยนต์เป็นกำลังหลักในการขับเคลื่อน เพื่อก้าวสู่ยุคของ Super Car EV อย่างแท้จริง นั่นเองจึงเป็นเหตุผลที่ทางค่ายส่ง Honda NSX Type S ที่เป็นเสมือนรุ่นส่งท้ายตำนานเครื่องยนต์ออกมาในจำนวน 350 คันทั่วโลก โดยสำหรับ 300 คัน จากทั้งหมด จะจำหน่ายในภูมิภาคอเมริกาเหนือภายใต้แบรนด์ Acura นั่นเอง
สีพิเศษ Gotham Gray ใครมาก่อน…เชิญเลือกได้ เพราะจำกัดแค่ 70 คัน
Honda NSX Type S มาพร้อมการปรับภาพลักษณ์เพื่อให้ตัวรถมีแอโร่ไดนามิคส์ที่ดีมากขึ้น โดยมีการปรับเส้นสาย พร้อมช่องรับลมให้มีขนาดใหญ่ ส่งให้ตัวรถดูมีความดุดันขึ้นไปอีกขั้น หลังคาทำใหม่โดยใช้วัสดุที่เป็นคาณ์บอนไฟเบอร์ ช่วยลดน้ำหนักและจุดศูนย์ถ่วงของตัวรถ Honda NSX Type S ให้ต่ำลง ในด้านท้ายมีการเพิ่มชุดดิฟฟิวเซอร์คาร์บอนไฟเบอร์ จัดระเบียบทิศทางการไหลของลมด้านท้าย เพื่อให้ Honda NSX Type S มีศักยภาพในการขับขี่ที่ความเร็วสูงได้อย่างเหนือชั้น นอกจากนี้ยังมีการเติมชุดล้อฟอร์จน้ำหนักเบาแต่แข็งแรงในสี Matte Shark Grey หรือ Gloss Berlina Black ซึ่งจากการเปลี่ยนล้อดังกล่าว ช่วนให้ความกว้างช่วงล้อหน้ากว้างขึ้นอีกราว 10.1 มม. และช่วงล้อหลังกว้างขึ้น 20.3 มม. ส่งให้ตัวรถ Honda NSX Type S มีเสถียรภาพในการขับขี่ที่ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังเติมหล่อด้วยชุดสคัพเพลทที่ทำจากคาร์บอนไฟเบอร์, ครอบกระจกมองข้าง รวมถึงมือจับประตูสี Gloss Berlina Black นอกจากนี้ Honda NSX Type S ยังมาพร้อมสีพิเศษที่เรียกว่า Gotham Gray (เพิ่ม 6,000 เหรียญฯ) ซึ่งเป็นหนึ่งใน 10 สี ที่สามารถเลือกได้ โดยสีเทานี้…มีจำนวนจำกัดเพียง 70 จาก 350 คัน เท่านั้น นั่นหมายความว่า ใครที่จองก่อน…ย่อมมีสิทธิ์เลือกก่อน
เทอร์โบ GT3 อัพบูสต์ เพิ่มความจุแบตฯ ไม่แรงขึ้น…ก็ให้มันรู้ไป !
ด้านเครื่องยนต์และระบบส่งกำลังของ Honda NSX Type S ยังคงมาพร้อมเครื่องยนต์บล็อค V6 ทวินเทอร์โบ พิกัด 3.5 ลิตร พร้อมมอเตอร์ไฟฟ้า 3 ตัว เช่นเดิม แต่ด้วยการอัพเกรดรายละเอียดในหลายๆ จุด ช่วยส่งให้ Honda NSX Type S ขยับพละกำลังในการขับเคลื่อนให้สงขึ้นเป็น 600 แรงม้า (+27 แรงม้า) และขยับแรงบิดจากเดิม 645 นิวตัน-เมตร เป็น 667 นิวตัน-เมตร หากเทียบกับรุ่นสแตนดาร์ด ซึ่งรายละเอียดเครื่องยนต์ที่มีการปรับเปลี่ยนใน Honda NSX Type S คือ การอัพชุดเทอร์โบที่ใช้ใน Honda NSX GT3 พร้อมเพิ่มอัตราการบูสต์ขึ้นเป็น 16.1 Psi หรือราว 1.1 บาร์ (เพิ่มจากเดิม 5.6%) พร้อมเดินระบบไอดี และเปลี่ยนอินเตอร์คูลเลอร์ใหม่ ให้อัตราการไหลของไอดีที่ดีขึ้น ก่อนจะเปลี่ยนชุดหัวฉีดใหม่ (ความสามารถในการจ่ายเชื้อเพลิงสูงขึ้น 25%) ทั้งหมดทั้งมวล ส่งให้กำลังขับเคลื่อนจากเครื่องยนต์ล้วนๆ ของ Honda NSX Type S ขยับมาอยู่ที่ 520 แรงม้า กับ 600 นิวตัน-เมตร นอกจากนี้ในส่วนของชุดไฟฟ้าในระบบไฮบริด มีการเพิ่มความจุแบตเตอรี่อีก 20% รวมถึงเพิ่มประสิทธิภาพในการปล่อยกำลังไฟสูงสุดเพิ่มอีก 10% ซึ่งนอกจากจะช่วยเพิ่มกำลังขับเคลื่อนให้สูงขึ้นแล้ว ยังทำให้การเรียกกำลังของ Honda NSX Type S ในระดับสูงสุดออกมาใช้ มีช่วงที่ยาวนานมากขึ้นด้วย
ช่วงล่าง โหมดการขับขี่…จัดเต็มทุกองค์ประกอบ
ด้านระบบส่งกำลังของ Honda NSX Type S มาในรูปแบบชุดเกียร์ Dual Clutch 9 สปีด ที่ปรับการทำงานให้สามารถตอบสนองได้เร็วขึ้นอีก 50% ที่ขาดไม่ได้คือ การอัพเกรดระบบขับเคลื่อน Sport Hybrid SH-AWD ให้มีประสิทธิภาพในการทำงานที่สูงขึ้น ด้วยระบบการประมวลผลที่มีความรวดเร็ว ช่วยให้ศักยภาพในการเข้าโค้งของ Honda NSX Type S อยู่ในระดับสูงสุดในทุกย่านความเร็ว เช่นเดียวกัน…ในส่วนของโหมดการขับขี่ Integrated Dynamics System ทั้ง 4 โหมด ไม่ว่าจะเป็น Quiet, Sport, Sport+ และ Track ล้วนถูกอัพเกรด เพื่อให้สามารถทำงานร่วมกับชุดช่วงล่างแบบ Adaptive Suspension ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ตบท้ายด้วยการเติมความสามารถในการยึดเกาะด้วยชุดยางใหม่ Pirelli P-Zero ไซส์ 245/35 ZR19 ที่ล้อหน้า และ 305/30 ZR20 สำหรับล้อคู่หลัง
เวลาหาย 4 วิ. !!! ใน Suzuka เมื่อจับคู่กับชุด Happy Meal Package
แต่สำหรับใครที่คิดว่าความเร้าใจของ Honda NSX Type S ยังไม่สุดพอ ทางค่ายยังจัดแพคเกจเสริม ซึ่งประกอบไปด้วยชุดเบรกคาร์บอนเซรามิคจาก Brembo (แยกขายที่ 9,900 เหรียญฯ) ที่มีคาลิเปอร์ให้เลือกทั้ง สีเงิน, ดำ, แดง และส้ม ฝาครอบเครื่องยนต์ รวมถึงชุดทริมการตกแต่งภายในที่ทำจากคาร์บอนไฟเบอร์ (2,500 เหรียญฯ) ซึ่งทั้งหมดนี้ สามารถลดน้ำหนักของ Honda NSX Type S ลงได้อีก 26.2 กก. ซึ่งทำให้เวลาต่อรอบในสนาม Suzuka ลดลงอีกราว 2 วินาที หากเทียบกับ Honda NSX 2019 รุ่นสแตนดาร์ด (ซึ่งโดยปกติแล้ว เวอร์ชั่นปี 2019 เร็วกว่าเวอร์ชั่นปี 2018 อยู่ 2 วิ. นั่นเท่ากับว่า Honda NSX Type S ที่ใส่แพคเกจเสริมนี้ จะเร็วกว่า Honda NSX 2018 ในระยะทาง 1 รอบ ของสนาม Suzuka ถึง 4 วินาที !!!) ในค่าตัวเพียง 13,000 เหรียญสหรัฐฯ (ราว 4.3 แสนบาท)
ภายในเดิมๆ เพิ่มเติมด้วยชุดหลังคาอัลคันทารา
อาจดูธรรมดาเกินไป หากพูดถึงภายในของสปอร์ตรุ่นสุดท้ายในตำนานอย่าง Honda NSX Type S ซึ่งดูไม่แตกต่างจากรุ่นสแตนดาร์ดมากนัก โดยรายละเอียดที่เปลี่ยนไป คงมีแค่การเปลี่ยนผ้าบุหลังคาเป็นวัสดุอัลคันทารา พร้อมแปะโลโก้ Type S ที่เก๊ะเก็บของด้านหน้า และการปักโลโก้ที่หัวเบาะเท่านั้น นั่นอาจหมายความว่าสำหรับหน้าจออินโฟเทนเม้นท์ขนาด 7 นิ้ว รวมถึงชุดเรือนไมล์แบบดิจิตัล ของ Honda NSX Type S อาจไม่ได้มีการปรับรายละเอียดอะไรแบบเป็นชิ้นเป็นอัน
ครั้งแรกของ Honda NSX Type S ในตลาดอเมริกา
นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ที่มีการจำหน่าย Honda NSX Type S นอกประเทศญี่ปุ่น โดยจากโควต้า 350 คัน จะถูกจำหน่ายในอเมริกามากถึง 300 คัน จำหน่ายในญี่ปุ่นราว 30 คัน และส่วนที่เหลือจะกระจายไปยังที่ต่างๆ ทั่วโลก ซึ่งค่าตัวของ Honda NSX Type S ถูกตั้งเอาไว้ที่ 169,500 เหรียญสหรัฐฯ (ราว 5.62 ล้านบาท) ส่วน Honda NSX Type S ที่มาพร้อมแพคเกจเสริม ซึ่งช่วยยกระดับความเร้าใจให้เร็วขึ้นกว่า Honda NSX 2018 ถึง 4 วินาที ใน Suzuka ค่าตัวจะขยับขึ้นไปที่ 182,500 เหรียญสหรัฐฯ (ราว 6.05 ล้านบาท) ซึ่งทั้งนี้ทั้งนั้น…ยังไม่รวมค่าธรรมเนียมในการซื้อขายอีกแตะๆ 2,000 เหรียญสหรัฐฯ
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพจาก Carscoop
………………………………………………………