เปิดตัวไปเป็นที่เรียบร้อย สำหรับ Honda CR-V เจนเนอเรชั่นที่ 6 เวอร์ชั่นที่จำหน่ายในอเมริกาเหนือ ซึ่งการกลับมาครั้งนี้ เน้นการอัพเกรดภาพลักษณ์ให้มีความหรูหรา ควบคู่ไปกับการออกแบบตัวถังที่มีขนาดใหญ่มากขึ้น เพื่อการใช้งานที่ครอบคลุมและสะดวกสบาย เช่นเดียวกับขุมพลังที่มาในแนวทางใหม่ ด้วยการ Down Sizing รวมถึงการใช้ขุมพลังในรูปแบบ Full Hybrid ในชื่อ e:HEV ส่วนให้รถอเนกประสงค์สำหรับครอบครัวอย่าง Honda CR-V กลายมาเป็นรถที่มีความสมบูรณ์แบบในการใช้งานมากยิ่งขึ้น
Honda CR-V เจนเนอเรชั่นที่ 6
Honda CR-V เจนเนอเรชั่นที่ 6
ได้รับแรงบันดาลใจในการออกแบบภายนอก โดยถอดเส้นสายมาจาก Honda Ridgeline และ Passport TrailSport ซึ่งใช้เส้นสายที่ดูมีความซับซ้อน ให้ความรู้สึกแข็งแกร่ง สมบุกสมบันมากขึ้น นั่นเองส่งให้ตัวรถ Honda CR-V เจนเนอเรชั่นที่ 6 มีความกว้างของตัวถึงเพิ่มขึ้นอีกราว 10 มม. (1,864 มม.) เช่นเดียวกับความยาวและระยะฐานล้อ ที่ยืดออกไปอีก 68.5 มม. (4,694 มม.) และ 40.6 มม. (2,700 มม.) ตามลำดับ การเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจมากที่สุด คือ การปรับแนวเส้นของเสา A Pillar ส่งผลให้พื้นที่ภายในห้องโดยสาร มีมากขึ้นตามไปด้วย โดยห้องโดยสารมีความยาวเพิ่มขึ้นอีก 119 มม. กว้างขึ้น 71 มม. และมีความสูงลดลง 35.5 มม. นอกจากนี้แล้ว ยังมีการปรับตำแหน่งของกระจกมองข้าง จากเดิมที่เคยอยู่ในมุมกระจกเสา A แต่สำหรับ Honda CR-V เจนเนอเรชั่นที่ 6 ถูกย้ายตำแหน่งลงมาอยู่ที่ประตู
ความโดดเด่นของ Honda CR-V เจนเนอเรชั่นที่ 6 คือ
การมาพร้อมกระจังหน้าที่มีขนาดใหญ่ โดยมาพร้อมไฟหน้าแบบ LED ในทุกรุ่นย่อย นอกจากนี้ยังมีการปรับดีไซน์ของชุดไฟท้ายให้มีความโฉบเฉี่ยว และให้ทัศนวิสัยที่ดีมากขึ้น สำหรับเวอร์ชั่นที่ทำตลาดในอเมริกา จะมาพร้อม 4 รุ่นย่อย ซึ่งก็จะมีดีเทลที่แตกต่างกันออกไป โดย 3 รุ่นแรก จะมาพร้อมล้ออัลลอยดีไซน์ 10 ก้าน ขนาด 18 นิ้ว (ต่างสีใน 2 รุ่นแรก) ส่วนในรุ่นท็อปสุด จะมาพร้อมล้ออัลลอย 5 ก้าน ขนาด 19 นิ้ว นอกจากนี้ความน่าสนใจของ Honda CR-V เจนเนอเรชั่นที่ 6 คือ การพัฒนาบนแพลตฟอร์มระดับโลก ซึ่งเน้นความนุ่มนวลและให้เสถียรภาพในการขับขี่ที่ดีมากขึ้น ช่วยลดการบิดของตัวถังได้มากขึ้นอีก 15% เช่นเดียวกับช่วงล่างด้านหน้าแบบแมคเฟอร์สันที่ได้รับการปรับปรุงใหม่ พร้อมด้วยพวงมาลัยไฟฟ้าอัตราทดแปรผัน ซึ่งช่วยให้การบังคับเลี้ยว ทำได้อย่างแม่นยำมากยิ่งขึ้น
ห้องโดยสารของ Honda CR-V เจนเนอเรชั่นที่ 6
ในภาพรวมมีความคล้ายคลึงกับ Honda Civic เจนเนอเรชั่นที่ 11 มาก เช่นการใช้แผงคอนโซลที่ดูสะอาดตา ส่วนช่องแอร์มาในรูปแบบตะแกรงรังผึ้งที่เราคุ้นเคย คอนโซลหน้าฝังหน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่ขนาด 7 นิ้ว พร้อมด้วยหน้าจออินโฟเทนเม้นท์ 9 นิ้ว (สำหรับ 2 รุ่นบน โดยใน 2 รุ่นเริ่มต้น มาพร้อมหน้าจอขนาด 7 นิ้ว) รองรับ Apple Carplay แบบไร้สายและ Android Auto พร้อม Wireless Charger ขนาด 16 วัตต์ ความพิเศษของรุ่นท็อปใน Honda CR-V เจนเนอเรชั่นที่ 6 คือ การมาพร้อมระบบเสียง Bose premium audio system แบบ 12 ลำโพง
ขุมพลังของ Honda CR-V เจนเนอเรชั่นที่ 6 ในเวอร์ชั่นที่เปิดตัว
มาพร้อม 2 รูปแบบ คือ เครื่องยนต์ขนาด 1.5 ลิตร เทอร์โบ ที่ได้รับการปรับปรุงให้มีกำลังเพิ่มขึ้นเป็น 190 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที พร้อมด้วยแรงบิดในระดับ 243 นิวตัน-เมตร ที่ 1,700 – 5,000 รอบ/นาที จับคู่กับชุดเกียร์ CVT และระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ Real-Time AWD with Intelligent Control System นอกจากนี้แล้ว Honda CR-V เจนเนอเรชั่นที่ 6 ยังมาพร้อมรุ่นขุมพลังไฮบริด ที่เป็นการทำงานร่วมกับระหว่างเครื่องยนต์เบ็นซิน 2.0 ลิตร Atkinson Cycle จับคู่มอเตอร์ไฟฟ้าที่ให้กำลังรวมสูงสุด 204 แรงม้า กับแรงบิด 335 นิวตัน-เมตร ส่งกำลังด้วยชุดเกียร์ E-CVT และแบตเตอรี่ Lithium-Ion ความจุ 1.3 kWh พร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ Real-Time AWD with Intelligent Control System ให้อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย 20.4 กม./ลิตร พร้อมด้วยความสามารถในการลากจูงได้มากถึง 1,000 กก. โดย Honda CR-V เจนเนอเรชั่นที่ 6 มาพร้อมโหมดการขับขี่ 4 รูปแบบ คือ Normal, Sport, Snow และ Econ
รุ่นย่อยและการวางออพชั่นของ Honda CR-V เจนเนอเรชั่นที่ 6 (สเป็คอเมริกา)
สิ่งที่ขาดไม่ได้ใน Honda CR-V เจนเนอเรชั่นที่ 6
รวมถึงรถยนต์ Honda ทุกรุ่นในปัจจุบันก็คือ ระบบความปลอดภัย Honda Sensing ที่มีการติดตั้งมาให้ในทุกรุ่นย่อย โดยในครั้งนี้มรการเพิ่มฟังค์ชั่นเตือนมุมอับสายตาเพิ่มเข้ามา พร้อมกับระบบช่วยเหลืออื่นๆ แบบครบครัน โดย Honda CR-V เจนเนอเรชั่นที่ 6 มีแพลนทำตลาดในอเมริกาช่วงปลายปี ซึ่งในบ้านเรา คงเป็นหนึ่งในตลาดที่น่าจะมีการเปิดตัวในช่วงเวบานั้นด้วยเช่นกัน
ไขข้อสงสัย ! Honda Civic 1.5 เทอร์โบ แรงกว่า e:HEV จริงหรือ ?
