หากตั้งคำถามกับคนทั่วไป หลายคนคงมองว่า การแข่งขันในระดับสูงสุดอย่าง Formula 1 ซึ่งเป็นรถที่มีสมรรถนะในระดับสูงสุด และใช้งบประมาณในการแข่งขันเป็นจำนวมหาศาลในแต่ละปี ย่อมต้องเป็นรถที่ใช้เชื้อเพลิง รวมถึงปล่อยมลพิษในระดับที่สูงกว่ารถเครื่องยนต์สันดาปที่เราใช้กันอยู่ทั่วไปเป็นแน่ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ผู้จัดการแข่งขัน Formula 1 ต่างหาแนวทางเพื่อที่จะพัฒนารถแข่งให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ใช้เชื้อเพลิงต่ำลง ปล่อยมลพิษน้อยลง ซึ่งในท้ายที่สุดแล้ว เทคโนโลยีที่ล้ำสมัยเหล่านั้น ก็จะถูกถ่ายทอดสู่รถในระดับโปรดักชั่นในอนาคตเช่นกัน
หากติดตาม่าวสารในวงการแข่งขัน Formula 1 อยู่บ้าง หลายๆ ท่านคงพอเคยได้ยินว่า บรรดาค่ายรถยนต์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Audi, Cadillac หรือแม้แต่แบรนด์ล่าสุดอย่าง Ford เตรียมที่จะกลับเข้าสู่โลกแห่งการแข่งขันในระดับสูงสุด หรือ Formula 1 ในปี 2026 ทำให้เกิดข้อสงสัยกันว่า ทำไมต้อง 2026 ? ในปี 2026 นั้น มีความพิเศษอย่างไร ในครั้งนี้ #ทีมขับซ่า จะพาทุกท่านไปไขรายละเอียดพร้อมๆ กัน
Formula 1 ฤดูกาล 2026 เป็นการแข่งขันที่มีการปรับกติกามาเพื่อสะท้อนให้เห็นถึงเทคโนโลยีในโลกยานยนต์ที่มีความก้าวล้ำมากยิ่งขึ้น โดยหัวใจหลักในการพัฒนารถแข่ง Formula 1 ในปี 2026 ก็คือ การพัมนาตัวรถรวมถึงเครื่องยนต์ให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ลดปริมาณการใช้เชื้อเพลิง ที่สำคัญคือ เครื่องยนต์และเชื้อเพลิงที่นำมาใช้ จะต้องปล่อยคาร์บอนเป็นศูนย์ โดยมีข้อบังคับ 7 ข้อ ดังนี้
จะไม่มีการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล ที่ปล่อยคาร์บอนอีกต่อไป
อย่างที่บอกในเบื้องต้นว่า การแข่งขัน Formula 1 ฤดูกาล 2026 จะต้องปล่อยคาร์บอนเป็นศูนย์ ดังนั้นย่อมหมายความว่า เชื้อเพลิงที่ได้จากฟอสซิล (ซากที่ถูกทับถมของขยะ อาหาร หรือแม้แต่ก๊าซในชั้นบรรยากาศ) แบบเดียวกับที่เราใช้งานอยู่ในปัจจุบัน จะไม่สามารถทำมาใช้ในการแข่งขัน Formula 1 ได้อีกต่อไป โดยเชื้อเพลิงที่จะถูกนำมาใช้จะกลายเป็น Fully Sustainable Fuels หรือ เชื้อเพลิงสังเคราะห์เพื่อความยั่งยืน ที่ได้รับการพัฒนาโดยทีมทดสอบและวิจัยของ Formula 1 ร่วมกับพันธมิตรอย่าง Aramco นั่นจึงทำให้ผู้ผลิตเครื่องยนต์ให้กับรถแข่งในแต่ละแบรนด์ต่างต้องคิดค้นเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อให้สามารถรองรับเชื้อเพลิงนี้ได้อย่างสมบูรณ์

Formula 1 2022 ยังคงใช้มอเตอร์ MGU-K กำลัง 160 แรงม้า พร้อมมอเตอร์ที่แกนเทอร์โบ MGH-H ซึ่งในปี 2026 จะถูกตัดออก
มอเตอร์ไฟฟ้าที่มีกำลังมากกว่าเดิม 3 เท่าตั้ว !
อย่างที่ทรราบกันดีว่า ในการแข่งขัน Formula 1 ในยุคปัจจุบัน รถแต่ละคันจะใช้เครื่องยนต์แบบ V6 เทอร์โบ พิกัด 1.6 ลิตร ร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า ที่ให้กำลัง 120 กิโลวัตต์ หรือราว 160 แรงม้า แต่สำหรับรถแข่ง Formula 1 ในปี 2026 รายละเอียดของชุด Powertrain จะแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง โดยมอเตอร์ไฟฟ้าสำหรับระบบไฮบริด MGU-K (Kinetic Motor Generator Unit) จะถูกยกระดับพละกำลังขึ้นมาอีกราว 3 เท่า หรือปล่อยกำลังสูงสุดได้ถึง 350 กิโลวัตต์ (ประมาณ 469 แรงม้า) ซึ่งจะช่วยยกระดับสมรรถนะและอัตราเร่งของตัวรถให้สูงมากยิ่งขึ้น โดยกำลังไฟที่ใช้ในการขับเคลื่อนชุดมอเตอร์ เป็นไฟที่ได้กกลับมาจากการเบรก เพื่อไม่ให้เกิดการสูญเปล่าของพลังงาน
กำลังมากกว่า 1,000 แรงม้า แต่…ใช้เชื้อเพลิงน้อยลง
ด้วยสัดส่วนของมอเตอร์ไฟฟ้าที่สามารถปลดปล่อยกำลังได้มากขึ้น ส่งผลโดยตรงต่อการดึงเอาประสิทธิภาพของเครื่องยนต์มาใช้ นั่นจึงทำให้รถแข่ง Formula 1 ในฤดูกาล 2026 ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงน้อยลง โดยยังคงสมรรถนะรวมในระดับกว่า 1,000 แรงม้า เอาไว้ ซึ่งที่ผ่านๆ มา มีการจำกัดการใช้เชื้อเพลิงลงมาอย่างต่อเนื่อง ในปี 2013 อนุญาตให้ใช้เชื้อเพลิงต่อ 1 สนาม อยู่ที่ 130 กก. ส่วนในปี 2020 ปริมาณการใช้เชื้อเพลิง ถูกลดลงมาอยู่ที่ 100 กก. และกำลังมุ่งเป้าไปที่ต่ำกว่า 70 กก. ต่อสนาม ในปี 2026 นอกจากนี้แล้ว ยังมีการปรับรูปแบบการคอนโทรลการไหลของเชื้อเพลิง จากเดิมที่ปล่อยให้ไหลเข้าสู่เครื่องยนต์ได้ใน Flow Rate สูงสุด กลายเป็นปล่อยให้ไหลเพียงในระดับที่เครื่องยนต์ต้องใช้ในแต่ละย่านกำลังเท่านั้น อีกทั้งการออกแบบท่อร่วมไอดี ยังเป็นแบบ Fix ความยาว แทนแบบปรับความยางตามองสาการเปิดของลิ้นปีกผีเสื้อแบบเดิม
ออกแบบจุดยึดแบตเตอรี่ ให้อยู่ในตำแหน่งที่ปลอดภัยมากยิ่งขึ้น
Formula 1 ในฤดูกาล 2026 มีการปรับรายละเอียดแชสซีส์ใหม่ เพื่อให้รองรับ Power Unit ของระบบไฮบริด MGU-K ให้อยู่ภายในโครงสร้าง ไม่ว่าจะเป็นมอเตอร์ แบตเตอรี่ หรือแม่แต่ระบบควบคุมต่างๆ เพื่อความปลอดภัยในขณะแข่งขัน ซึ่งมีโอกาสที่จะเกิดการกระทบกระแทก จนชิ้นส่วนต่างๆ เกิดความเสียหาย
นวัตกรรมที่ต้องไปต่อ กับค่าใช้จ่ายที่ต้องต่ำลง
สิ่งที่ Formula 1 พยายามทำมาในทุกๆ ปี คือ การลดช่องว่าระหว่างทีมที่มีเงินทุนในการทำทีมมหาศาล กับทีมเล็กที่งบประมาณจำกัด นั่นจึงเป็นที่มาของการลดเพดานค่าใช้จ่าย ซึ่งมีข้อห้ามการเลือกใช้วัสดุที่มีต้นทุนสูง มาใช้ชิ้นส่วนมาตรฐานเพื่อให้สามารถควบคุมงบประมาณได้อย่างสมดุล (และเป็นการช่วยพัฒนาชิ้นส่วนยานยนต์ในระดับโปรดักชั่นได้โดยตรง) ซึ่งนอกจากเรื่องการเลือกใช้วัสดุแล้ว จำนวนชั่วโมงในการใช้ทดสอบด้วยเครื่องมือชนิดพิเศษ เช่น อุโมงค์ลม, Dyno จะถูกจำกัด เพื่อไม่ให้เกิดความได้เปรียบเสียเปรียบ โดยในการแข่งขัน Formula 1 ในฤดูกาล 2026 แต่ละทีมสามารถใช้เครื่องยนต์และระบบส่งกำลังตลอดฤดูกาลได้เพียงทีมละ 3 Unit เท่านั้น
การแข่งขันเพื่อวัดฝีมือของนักแข่งอย่างแท้จริง
แม้ว่ารถจะเป็นองประกอบหลักที่ทำให้ทีมสามารถคว้าชัยชนะในการแข่งขัน แต่สิ่งหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือ ศักยภาพของตัวนักแข่ง โดยรถแข่ง Formula 1 ในฤดูกาล 2026 ถูกออกแบบมาเพื่อลดข้อจำกัดเดิม เช่น การตัด MGU-H หรือมอเตอร์ไฟฟ้าสำหรับช่วยปั่นแกนเทอร์โบออก ซึ่งอาจทำให้ตัวรถมีอาการรอรอบและเดินคันเร่งออกจากโค้งได้ยาก ซึ่งด้วยตัวรถที่มีความใกล้เคียงกันมากขึ้น ส่งผลให้นักแข่งต้องดึงเอาขีดจำกัดของตัวเองออกมาใช้ เพื่อให้สามารถเอาชนะคู่แข่งได้ โดยต้องวางแผนในการขับขี่ และการโจมตีที่ต้องเฉียบคม สร้างอิมแพคต่อผลการแข่งขันได้มากยิ่งขึ้น
มีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
การใช้ชิ้นส่วนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ผู้จัดการแข่งขัน Formula 1 มุ่งเน้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งนอกจากจะเป็นการรับผิดชอบต่อสังคมแล้ว ยังเป็นการทำวัสดุที่เหลือใช้มาทำให้เกิดประโยชน์สูงสุด เช่น การวางแผนที่จะนำโคบอลท์จากการใช้งานแบตเตอรี่ MGU ที่หมดอายุมาผ่านกระบวนการรีไซเคิล เพื่อความยั่งยืน และการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคม ในฐานะการแข่งขันมอเตอร์สปอร์ตในระดับสูงสุด