ค่าน้ำมัน หรือ ค่าชาร์จไฟ ถือเป็นข้อถกเถียงกันมานานว่า อันที่จริงแล้ว เราเลือกเดินทางในรูปแบบไหนมีค่าใช้จ่ายต่ำกว่า ? โดยเฉพาะในช่วงวันหยุดยาวที่มีผู้ร่วมทางเป็นจำนวนมาก รถติด สภาพการจราจรแออัด ระหว่าง EV หรือ รถ Hybrid คันไหนจะสะดวกและประช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการเดินทางได้มากกว่ากัน ครั้งนี้ #ทีมขับซ่า นำข้อมูลมาเปรียบเทียบให้เห็นภาพ ว่าในช่วงวันหยุดยาวนี้ ผู้ใช้ควรที่จะเลือกรถคันไหนในการเดินทางท่องเที่ยว พักผ่อน ที่จะประหยัดค่าใช้จ่าย และเวลาในการเดินทางได้มากที่สุด
คำนวณจากการเดินทางในระยะทาง 300 กม.
รถ EV | รายละเอียด | รถไฮบริด |
15 kW/100 กม. | อัตราสิ้นเปลือง | 20 กม./ลิตร |
8 บาท/kW | ค่าใช้จ่ายพลังงาน | 31 บาท/ลิตร |
45 kW | การใช้เชื้อเพลิงในระยะทาง 300 กม. | 15 ลิตร |
360 บาท | ค่าใช้จ่ายในการเดินทาง 300 กม. | 465 บาท |
1.20 บาท | ค่าใช้จ่าย ต่อ 1 กม. | 1.55 บาท |
คำว่า เดินทางไกล ของแต่ละคน ถือว่ามีระดับความเข้มข้นที่แตกต่างกัน บางคนแค่ต้องการเดืนทางท่องเที่ยว พักผ่อน ในระยะไม่เกิน 300 กม. ในกรณีนี้ #ทีมขับซ่า ขอยกตัวอย่างรถ EV ที่มีอัตราสิ้นเปลืองพลังงานอยู่ในระดับ 15 kW/100 กม. ซึ่งเป็นรถดับอัตราสิ้นเปลืองของรถไซส์คอมแพค หรือ B Segment SUV ทั่วไป เช่นเดียวกับรถในรูปแบบไฮบริด ที่ในคลาสนี้ จะมีอัตราการบริโภคเชื้อเพลิงเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 20 กม./ลิตร โดยคิดค่าใช้จ่ายพลังงานจากตู้ชาร์จไฟ DC ที่เฉลี่ยอยู่ในระดับ 8 บาท ต่อ kW และน้ำมันเชื้อเพลิงแก๊สโซฮอลล์ E20 ที่ลิตรละ 31 บาท ซึ่งในระยะทาง 300 กม. รถ EV ในเงื่อนไขดังกล่าว จะต้องใช้ไฟทั้งสิ้น 45 kW คิดเป็นเงิน 360 บาท ส่วนรถไฮบริด จะใช้น้ำมันอยู่ที่ 15 ลิตร และคิดเป็นเงิน 465 บาท มีส่วนต่างในการเดินทางระหว่าง รถ EV vs. รถ Hybrid อยู่ที่ 105 บาท ในระยะเวลาการเดินทางที่ใกล้เคียงกัน

รถไฮบริดยุคใหม่ ถูกยกระดับสมรรถนะ และอัตราสิ้นเปลืองขึ้นมาจนอยุ่ในระดับที่น่าประทับใจ หากยังไม่พร้อม…EV อาจยังไม่ใช่รูปแบบที่จำเป็น

ข้อดีทางอ้อมของการแวะชาร์จ คือ การที่ผู้ขับขี่มีโอกาสได้พักผ่อน ลดความเมื่อยล้าจากการเดินทางในระยะไกล
คำนวณจากการเดินทางในระยะทาง 700 กม.
รถ EV | รายละเอียด | รถไฮบริด |
15 kW/100 กม. | อัตราสิ้นเปลือง | 20 กม./ลิตร |
8 บาท/kW (DC Charge) | ค่าใช้จ่ายพลังงาน | 31 บาท/ลิตร (E20) |
105 kW | การใช้เชื้อเพลิงในระยะทาง 700 กม. | 35 ลิตร |
1 + 1 ชั่วโมง | เวลาที่ใช้ในการเติมเชื้อเพลิง | 10 นาที |
840 บาท | ค่าใช้จ่ายในการเดินทาง 700 กม. | 1,085 บาท |
1.20 บาท | ค่าใช้จ่าย ต่อ 1 กม. | 1.55 บาท |
แต่หากคุณเป็นคนบ้านไกล หรือชอบเที่ยวในระยะทางไกลๆ คิดเล่นๆ ฟีล กทม.-เชียงใหม่ ประมาณ 700 กม. สิ่งหนึ่งที่ต้องเพิ่มขึ้นมา เมื่อใช้รถ EV ก็คือ การต้องแวะชาร์จอย่างน้อย 2 ครั้ง ซึ่งแต่ละครั้งอาจใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง เนื่องจากมีเพื่อนร่วมทางที่ต้องใช้ที่ชาร์จร่วมกันเป็นจำนวนมาก ตีกลมๆ บวกเวลาอีกราว 2 ชั่วโมง ข้อดี คือ อย่างน้อยคุณจะมีเวลาในการพักผ่อน รีเฟรชร่างกายแบบเต็มๆ แบบปฏิเสธไม่ได้ ส่วนรถไฮบริด อาจมีความจำเป็นต้องแวะเติมน้ำมันแบบเผื่อเหลือเผื่อขาด ราวๆ 15 นาที ไม่รวมเวลาที่อยากยืดเส้นยืดสายเพิ่มเติม (อย่างน้อยก็แวะเข้าห้องน้ำ 2-3 ครั้ง สุดท้ายจบที่ประมาณ 1 ชั่วโมง) ในคอนดิชั่นเดียวกันที่ค่าใช้จ่ายต่อ 1 กม. ที่ 1.20 บาท สำหรับรถ EV และ 1.55 บาท สำหรับรถไฮบริด ในระยะทาง 700 กม. รถ EV จะใช้พลังงานทั้งสิ้น 105 kW ซึ่งคิดเป็นเงิน 840 บาท และสำหรับรถไฮบริดนั้น จะต้องใช้น้ำมัน 35 ลิตร 1,085 บาท นั่นทำให้ส่วนต่างค่าใช้จ่ายระหว่าง รถ EV vs. รถ Hybrid ในระยะทาง 700 กม. อยู่ที่เพียง 245 บาท เท่านั้น
ปัจจัยหนึ่งที่ส่งให้ค่าใช้จ่ายในการเดินทางระหว่าง รถ EV vs. รถ Hybrid มีระดับความต่างที่ไม่สูงมาก หลักๆ เป็นเพราะระดับราคาน้ำมันที่มีการปรับตัวลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งหากเทียบกับช่วงเดือนเมษายน 2567 แก๊สโซฮอลล์ E20 มีราคาลิตรละประมาณ 38 บาท (หากเดินทางในระยะ 700 กม. เป็นเงิน 1,330 บาท หรือคิดเป็น 1.90 บาท ต่อ 1 กม.) ต่างจากราคาน้ำมันชนิดเดียวกัน ณ เวลานี้ ถึงลิตรละ 7 บาท นั่นจึงทำให้ค่าใช้จ่ายในการเดินทางของรถไฮบริดต่ำลงมาก และอยู่ในระดับที่ฟัดกับค่าใช้จ่ายในการเดินทางด้วยรถ EV ได้แบบสบายๆ โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับความยืดหยุ่นในการใช้งานที่มากกว่า สำหรับการเดินทางในช่วงวันหยุดยาวเช่นนี้