สิ่งหนึ่งที่อดคิดไม่ได้ เวลาเห็นต่างประเทศเขามีรถดีๆ ให้ใช้ (ในราคาที่ก็ไม่ได้แพงโหดร้าย) แต่ทำไมบ้านเราถึงไม่นำเข้ามาขาย หรือหากนำเข้ามาจริง ราคานั้นก็โดดไปไกลจนเกินที่จะเอื้อมถึง ว่ากันตามตรง เจตนาของผู้ขาย คงไม่ได้มีใครที่อยากขายแพงจนเกินความเป็นจริง ถึงจะต้องการกำไร…ก็คงเอาแค่ “พออิ่ม” ไม่ถึงกับต้อง “ขูดเลือดขูดเนื้อ” กันเหมือนที่เห็นในปัจจุบัน โดยสาเหตุที่ รถนำเข้า มีราคาสูงกว่ารถที่ประกอบในประเทศไทย หลักๆ คงเป็นเพราะเรื่องของโครงสร้างภาษีมหาโหด ที่กว่ารถจะถึงมือผู้ใช้ มันต้องผ่านนู่นผ่านนี่มาหลายต่อ ไม่เว้นแม้แต่รถในรูปแบบ EV ที่เห็นราคาเมืองนอก กับเห็นราคาที่ขายในประเทศแล้ว ต่างกันร่วมๆ 3 เท่า เลยทีเดียว !!!
มันเป็นเรื่องที่ค่อนข้างจะซับซ้อน สำหรับขั้นตอนการเก็บภาษีรถยนต์นำเข้าในบ้านเรา ซึ่งรถยนต์แต่ละรูปแบบนั้น ก็จะมีวิธีในการเรียกเก็บภาษีที่แตกต่างกัน แม้จะเป็นรถ EV เหมือนกัน แต่ถ้าเป็นรถที่มาจากต่างภูมิภาค (หรือต่างรูปแบบการผลิต) ก็ยังมีรายละเอียดการเรียกเก็บภาษีที่แตกต่างกันไปอีก โดยหากเป็นกรณีของรถ EV นำเข้าแบบทั้งคัน หรือที่เราคุ้นหูกันว่า CBU (Completely Build Unit) ที่ไม่ได้มีสิทธิพิเศษทางภาษีใดๆ จะต้องผ่านขั้นตอนการเรียกเก็บภาษี (รวมถึงค่าใช้จ่ายอื่นๆ) ก่อนที่จะถึงมือผู้ใช้ดังนี้
ค่าใช้จ่ายทางภาษีสำหรับรถนำเข้า
1.ราคา CIF (Cost + Insurance + Freight) แปลตรงตัว คือ ค่าใช้จ่ายที่มาจาก 3 ส่วน ประกอบกัน นั่นก็คือ ราคาของตัวรถ + ประกันภัย และค่าขนส่ง
2.ภาษีอากรขาเข้า ตรงนี้จะค่อนข้างโหดและมีเงื่อนไขในการคิดที่แตกต่างกันไป โดยหลักๆ หากไม่มีเงื่อนไขพิเศษใดๆ จะอยู่ที่ 80% ของราคา CIF
3.ภาษีสรรพสามิต ตรงนี้…โดยปกติแล้ว หากเป็นรถที่ใช้เครื่องยนต์หรือไฮบริด อัตราภาษีจะถูกคิดตามการปล่อย CO2 แต่หากเป็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้า หรือ รถ EV แบบนำเข้ามาทั้งคัน จะถูกคิดภาษี 8% (หากเป็นรถที่มีแพลนจะตั้งโรงงานผลิตในประเทศ จะได้การสนุบสนุนจาก BOI โดยปรับอัตราภาษีสรรพสามิตลงเหลือ 2%) วิธีการคำนวนอาจจะซับซ้อนเล็กน้อย โดยมีสูตร คือ ภาษีสรรพสามิต = ((CIF + ภาษีอากรขาเข้า) x อัตราภาษี) / (1 – (1.1 x อัตราภาษี)
4.ภาษีกระทรวงมหาดไทย คิดจาก 10% ของภาษีสรรพสามิต
5.ภาษีมูลค่าเพิ่ม คิดจาก 7% ของ (ราคา CIF + ภาษีอากรขาเข้า + ภาษีสรรพสามิต + ภาษีกระทรวงมหาดไทย)
6.กำไรของผู้ขาย ไม่ใช่เงื่อนไขที่ถูกบังคับ แต่คงเป็นสิ่งที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ในการทำธุรกิจ
หากเราลองนำรถ EV ที่กำลังเป็นกระแสมาคำนวนเล่นๆ เช่น Ford F-150 Lightning ปิคอัพพลังงานไฟฟ้ารุ่นแรกจากค่าย Ford ที่เปิดราคาในต่างแดนเริ่มต้นที่ 39,974 เหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นเงินไทยราวๆ 1.25 ล้านบาท) หากนำเข้ามาจำหน่ายในบ้านเรา โดยคำนวนจากอัตราภาษีเบื้องต้น กว่าจะถึงมือผู้ใช้…จะต้องเสียภาษีดังนี้
1.ราคา CIF = 1,250,000 + 100,000 + 50,000 รวม 1,400,000 บาท (ค่าขนส่ง + ประกันภัย เป็นค่าใช้จ่ายโดยประมาณ)
2.ภาษีอากรขาเข้า = 80% ของ 1,4000,000 บาท คำนวนแล้วคือ 1,120,000 บาท
3.ภาษีสรรพสามิต นำมาเข้าสูตร ((CIF + ภาษีอากรขาเข้า) x อัตราภาษี) / (1 – (1.1 x อัตราภาษี) คือ ((1,400,000 + 1,120,000) x 8%) / (1 – (1.1 x 8%) เท่ากับ 221,052 บาท
4.ภาษีมหาดไทย หรือ 10% ของ 221,052 บาท คิดเป็น 22,105 บาท
5.ภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือ 7% ของ (1,400,000 + 1,120,000 + 221,052 + 22,105) คิดเป็น 193,420 บาท
***หลังจากนำค่าใช้จ่ายทั้ง 5 ขั้นตอน มารวมกัน นั่นหมายความว่า 5 ส่วนนี้ คือ ราคาจริงหลังจากผ่านกระบวนการทางภาษีแบบทั้งหมดทั้งมวล 1,400,000 + 1,120,000 + 221,052 + 22,105 + 193,420 รวมค่าใช้จ่ายสุทธิทั้งสิ้น 2,956,577 บาท (เป็นตัวเลขโดยประมาณที่ใช้เพื่อคำนวนให้เห็นภาพเท่านั้น)
6.ขั้นตอนที่เหลือ ก็อยู่ที่ว่า ทางผู้จำหน่ายคิดค่าดำเนินการ ค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษา รวมถึงกำไร…เป็นเงินเท่าไหร่ ? ซึ่งนั่นก็คือ จำนวนเงินที่ผู้ใช้จะต้องจ่ายจริงนั่นเอง
เห็นแบบนี้แล้ว…ต้องยอมรับว่า วิถีการเกิดเป็นรถยนต์นำเข้านั้น ดูจะลำบากเหลือเกิน กว่าจะมาถึงผู้ใช้ในบ้านเรา ล้วนแต่ต้องผ่านขั้นตอน กระบวนการรับน้องจนสะบักสะบอมไปทั้งตัว หรือกว่า 60-70% ของราคารถ ซึ่งนี่ยังไม่รวมถึงค่าใช้จ่ายและกำไรทชที่ต้องโดย + จากผู้ขาย…เห็นแล้วมันช่างเพลีย เจอแบบนี้แล้วตัดสินใจง่ายๆ เลยว่า…สงสัยคงต้องยอมขับอีแก่ที่บ้านต่อไปแล้วสินะ !!!