รถ EV ในความเป็นจริงแล้ว ก็แทบไม่ต่างจากรถที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปทั่วไป แม้ว่าหลายคนยังคงมักจะตั้งข้อสงสัยว่า เมื่อแบตเตอรี่หมดกลางทาง จะต้องทำอย่างไร ? แน่นอนว่าจุดชาร์จสำหรับรถ EV อาจไม่ได้หาง่ายเหมือนปั๊มน้ำมันที่มีทุกหัวระแหง แต่ในความเป็นจริงแล้ว ต่อให้คุณขับรถรูปแบบไหนๆ สิ่งหนึ่งที่ต้องทำคงหนีไม่พ้นการวางแผนการเดินทาง กำหนดจุดแวะ จุดพัก เพื่อเติมพลังให้กับรถยนต์ รวมถึงเติมความสดชื่นให้กับร่างกาย ให้สามารถเดินทางไปยังจุดหมายปลายทางได้อย่างปลอดภัย
ในบทความนี้…เป็นการทดลองโดยนำรถซีดาน EV 6 รุ่นชั้นนำ มาทดลองวิ่งหลังจากที่เติมไฟจนเต็ม 100% เพื่อดูว่า คันไหนสามารถเดินทางได้ไกลที่สุด และเมื่อใช้งานจนแบตเตอรี่หมดแล้ว รถจะมีการตอบสนองอย่างไร ? โดยการทดสอบดังกล่าว เป็นการทดสอบโดย CarWow เว็บไซท์ยานยนต์ชั้นนำในประเทศอังกฤษ (รถที่ใช้เป็นเวอร์ชั่นพวงมาลัยขวา และมีรายละเอียดที่ใกล้เคียงกับรถที่ทำตลาดในบ้านเรา) ซึ่งในขั้นตอนการทดสอบ จะใช้เส้นทางในรูปแบบไฮเวย์ในประเทศอังกฤษ ใช้ความเร็วเดินทางจริงตามสภาพการจราจร กำหนดความเร็วไม่เกิน 70 ไมล์/ชม. หรือไม่เกิน 113 กม./ชม. ในโหมด Normal (เมื่อแบตเตอรี่เตือนในระดับต่ำสุด สลับการขับขี่เป็นโหมด Eco ตามคอนดิชั่นของตัวรถ) เปิดเครื่องปรับอากาศปกติ โดยไม่มีปัจจัยควบคุมใดๆ มากนัก (วิ่งลุยฝนเป็นระยะ) เพื่อให้ได้ผลที่ใกล้เคียงกับรูปแบบการใช้งานจริงมากที่สุด
ในวีดีโอความยาวกว่า 50 นาที ของ เป็นการรวบรวมขั้นตอน รวมถึงสิ่งที่เกิดขึ้นจากการทดสอบทั้งหมด ซึ่งรถที่ถุกนำมาทดสอบในครั้งนี้ ประกอบไปด้วย Porsche Taycan, Mercedes EQE, Tesla Model 3, Polestar 2, BYD Seal และ BMW i5 ที่เป็น EV Sedan ในพิกัด D-Segment ด้วยกันทั้งสิ้น ซึ่งนอกจากวีดีโอดังกล่าวแล้ว ข้อมูลการทดสอบแบบสั้นๆ ยังถูกรวบรวมมาไว้ในตารางดเานล่างเพื่อให้เปรียบเทียบได้ง่ายและเห็นภาพมากขึ้นอีกด้วย
Model | Battery Size | Observed Range | Observed Efficiency | Advertised Range (WLTP cycle) | % Of Advertised Range Achieved |
Porsche Taycan | 97 kWh | 368 miles | 3.8 mi/kWh | 421 miles | 88% |
Mercedes EQE | 89 kWh | 357 miles | 4.0 mi/kWh | 380 miles | 94% |
Tesla Model 3 | 75 kWh | 352 miles | 4.7 mi/kWh | 390 miles | 90% |
Polestar 2 | 79 kWh | 332 miles | 4.2 mi/kWh | 406 miles | 82% |
BYD Seal | 82.5 kWh | 310 miles | 3.8 mi/kWh | 354 miles | 87.5% |
BMW i5 | 81 kWh | 296 miles | 3.7 mi/kWh | 362 miles | 82% |
หากพิจารณาจากตัวเลขในตาราง ดูเหมือนว่า Porsche Taycan จะเป็นผู้ที่กุมความได้เปรียบ เนื่องจากทำระยะการเดินทางได้มากที่สุด 368 ไมล์ หรือกว่า 592 กม. ต่อชาร์จ แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องนำมาพิจารณาด้วย คือ สปอร์ตซีดานแห่งสตุ๊ดการ์ดคันนี้ มาพร้อมขนาดแพคแบตเตอรี่ที่ใหญ่กว่ารุ่นอื่นๆ อย่างชัดเจน นั่นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกหาก Porsche Taycan จะเป็นรถที่วิ่งได้ไกลที่สุด ในทางกลับกัน…หากพิจารณาตามสเป็คระยะที่เคลม กลายเป็น Mercedes EQE ที่ทำได้ตรงปกที่สุดถึง 94% โดยทางค่ายเคลมระยะเอาไว้ที่ 380 ไมล์ หรือราว 612 กม. ต่อชาร์จ ตัวรถ Mercedes EQE สามารถวิ่งได้จริง 357 ไมล์ หรือราว 575 กม. ต่อชาร์จ หรือมีความคลาดเคลื่อนเพียง 37 กม. เท่านั้น นอกจากนี้…สิ่งที่น่าสนใจอีกอย่าง คือ แม้ว่า Tesla Model 3 จะเป็นรถที่มีอายุโมเดลนานกว่ารถในกลุ่มที่ถูกนำมาทดสอบ แต่มาตรฐานในการเคลมสเป็คของค่าย ยังอยู่ในระดับที่ไว้เนื้อเชื่อใจได้ แม้ว่าจะเป็นรถที่มีความจุแบตฯ ต่ำที่สุด แต่ให้ประสิทธิภาพในแง่ระยะทางได้ถึง 90% เมื่อเทียบกับระยะที่เคลม โดยจุดเด่นอยู่ที่การบริหารการใช้พลังงาน ที่ทำได้ดีในระดับ 4.7 ไมล์ หรือ 7.5 กม. ต่อการใช้พลังงาน 1 kWh
ความน่าสนใจอีกอย่างหนึ่ง ในกรณีที่ใช้งานแบตเตอรี่รถ EV เหล่านี้จนเหลือ 0% สิ่งแรกที่เกิดขึ้น คือ รถยนต์จะแสดงข้อมูลแจ้งเตือน พร้อมกับลดกำลังลงโดยอัตโนมัติ หลังจากนั้นอีกครู่หนึ่งจึงค่อยๆ หยุดลง ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้ว แม้ว่าแบตเตอรี่จะแสดง 0% แต่ตัวรถจะยังคงสามารถเดินทางได้ต่ออีกเล็กน้อยด้วยปริมาณแบตเตอรี่ที่มีสำรองไว้ ส่วนรถบางคัน…แม้ว่าแบตฯ จะหมดจนรถหยุดนิ่งไปแล้ว แต่เมื่อจอดทิ้งไว้สักพัก จะสามารถคืนชีพ พร้อมวิ่งต่อได้อีกเล็กน้อย เพื่อไปให้ถึงจุดชาร์จได้เช่นกัน ทำได้…แต่อันนี้ ไม่แนะนำจริงๆ