ขณะนี้ผู้ประกอบการที่ป้อนชิ้นส่วน อุปกรณ์ แบบ OEM. ทั่วโลกต่างก็ปรับตัวกันยกใหญ่ เพื่อให้สามารถรองรับ อยู่รอดได้ในโลก EV ยานยนต์ไฟฟ้าทั้งหลายที่ทะยอยเข้ามาเรื่อยๆ มันคือคลื่นถาถม Disruptions ที่เกิดทั่วโลกและบ้านเรา(ในอนาคต) ไม่ว่าจะเป็นผู้ผลิตระดับ Tier 1, Tier 2 ….ไล่ไปเรื่อยๆจนถึงลูกกระจ๊อก !!
ประเด็นสำคัญคือไม่ใช่ที่ผู้ประกอบการรายดั้งเดิมเหล่านี้เจะต้องปรับตัว แข่งขันกันเฉพาะใน “วง” รายเดิมๆ ที่จัดว่าเคยครองอาณาจักร เป็นเจ้าใหญ่ในตลาดอีกต่อไป แต่จะต้องเจอคู่แข่ง ผู้ประกอบการหน้าใหม่ คนรุ่นหลัง พวก “สตาร์ทอัพ” ที่อาจจะไม่เคยอยู่ในธุรกิจนี้มาก่อนเลย คือเป็นได้ทั้ง “Startups และ Non–automotive players” โดยเฉพาะด้านซอฟท์แวร์ เฟิร์มแวร์ โมดูลควบคุมการทำงาน ฯลฯ ของ EV ในยุคนั้น
พวกรายใหม่ๆเหล่านี้นอกจากจะเข้ามาตอดกินตลาดบางส่วนของ OEM ที่ผู้ประกอบดั้งเดิมเห็นว่าไม่คุ้ม ไม่มีความถนัดแล้ว ในทางคู่ขนานกันจะมีพวก OEM ระดับโลกเข้ามาถือหุ้น ขาย/ถ่ายทอดเทคโนโลยี ร่วมเป็นพันธะมิตรทางธุรกิจกับ Startups และ Non–automotive players เหล่านี้ คือก้าวไปด้วยกัน เพราะได้เปรียบตรงมี Brand ความเชื่อถือ และเทคโนโลยีสูงส่งกว่า ยกตัวอย่าง Robert Bosch GmbH, Denso Corp , Continental AG , Delphi Automotive PLC , TRW Automotive Holdings Corp. Mitsubishi Electric Corp โดยเฉพาะด้านความปลอดภัยของ EV รวมทั้ง Autonomous EV เพื่อสร้างความมั่นใจแก่ผู้ซิ้อรถเหล่านั้นมาใช้ว่าจะไม่พากูวิ่งเฟอะฟะ หลงเซิ้ง หรือเกิดไฟลุกไหม้ได้ง่ายๆ ..
เป็นความจริงที่เราทราบกันอยู่ว่า EV เหล่านี้นับวันจะมีตัวกำเนิดพลัง ระบบขับเคลื่อน ชิ้นส่วนน้อยลง และก็เป็นความจริงอีกเช่นกันที่ความซับซ้อนในการซ่อมดูแลมันกลับมากขึ้นตามเช่นกัน มีความเสี่ยงเกี่ยวข้องมากกว่า ต้นทุนแพงกว่า ตรงนี้ว่ากันทั้งยวงตั้งแต่ Powertrain, Drivetrain และ Mechanical parts ต่างๆ
สิ่งที่เกิดขึ้นกับ “วงการ EV” นี้ได้มาเกิดอย่างรวดเร็วที่จีน ซึ่งคาดว่าจะก้าวเป็นผู้นำตลาดโลกก่อนปี 2030 อย่างแน่นอน รัฐบาลจีนฉลาดพอที่จะทุ่มงบด้านเทคโนโลยี พัฒนาบุคคลากร ซื้อองค์ความรู้ ลักจำทำนองก็อปปี้ มายังประเทศตนซึ่งมีพร้อมทั้งฝั่งอุปสงค์–อุปทานจำนวนมากพอ ที่จะไม่ต้องพึ่งการนำเข้า–ส่งออกใดๆ
อานิสงค์จะทะลักยักถ่ายมายังญี่ปุ่น เกาหลีใต้(ซึ่งได้เกิดขึ้นแล้วกับแบตเตอรี่ มอเตอร์ ระบบขับเคลื่อน) แล้วก็จะถูกผ่องถ่ายมายังย่านอาเซี่ยนตามลำดับ ดังนี้ค่อยๆเกิดโรงงาน แผนงาน ผลิตบางชิ้นส่วนเหล่านี้แถว EEC ทั้งนี้ไทยเราน่าจะกอบเก็บได้เป็นกำ (หรือเป็น “กรรม” ถ้าโดนเวียดนามคาบไปรับทานร่วมด้วย)
มองภาพรวมแบบ Thailand Outlook ทำให้เห็นถึงความต้องการด้านบุคคลากร “ฝีมือ” ว่าบ้านเราจะมีความพร้อมระดับไหนเมื่อถึงวันนั้น และคำว่าฝีมือในวันนั้นต้องเป็นประเภท “รู้กว้าง” กว่าที่เราใช้กันอยู่ในการผลิตรถสันดาปภายใน ไม่ใช่แค่ระดับ “Skilled engineer” แต่เราต้องผลิต “Multi–skilled engineer” ให้ได้ ต้องก้าวพ้นจากปัจจุบันที่แม้จะสามารถบูรณาการทั้งเครื่องกล ไฟฟ้า และเคมีเข้าด้วยกันเท่านั้น เพราะวงการ EV ต้องการระดับสมองชั้นนำด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรม และคณิตศาสตร์เข้าด้วยกัน (STEM : Science, Technology, Engineering, Mathematics) !!
หมายเหตุ : เท่าที่ได้ไปดูผลงานของทีมอาจารย์/นักศึกษาด้านวงการ EV ตามนิทรรศการณ์ สถาบันอย่าง ม/เกษตร, ส. เทคโนโลยี รวมทั้งมีการสนับสนุนจากองค์กรระดับชาติอย่าง EGAT, ปตท. ได้มีความพร้อมที่น่าสนับสนุนต่อมากทีเดียว ซึ่ง “ปล้อน” จะนำมาเสนอเป็นระยะๆคร๊าบ….
………………………………………………………
ติดตามข่าวสารขับซ่าได้ ที่นี่
ชมรายการขับซ่า34 ย้อนหลังได้ ที่นี่