ประสิทธิภาพ EV
Cr ภาพ www.buyacar.co.uk จากที่เคยเขียนถึงประสิทธิภาพ การวัดประสิทธิภาพของยานยนต์ไฟฟ้าไปพอสมควรแล้วนั้น ก็ยังมีบางประเด็นที่สามารถนำมาถ่ายทอดให้ได้รับรู้อีกมาก เพราะปัจจุบันเมื่อวงการตื่นตัว คนหันมาใช้รถพวกนี้มากขึ้น ก็ย่อมมีการศึกษา เปรียบเทียบเรื่องแบต ระบบจัดการบริหารแบต มอเตอร์ ระบบขับเคลื่อนส่งกำลัง การใช้ การชาร์จ อุปกรณ์ต่างๆ เรียกว่าบทความเนื้อหาต่างๆนับต่อจากนี้จะผันตัวจากรถสันดาปภายใน สู่โลกยานยนต์ไฟฟ้าอย่างแน่นอน
หนึ่งในนั้นคือเรื่อง “ประสิทธิภาพ” ของมัน เจาะไปที่ความสิ้นเปลือง ค่าการบริโภคไฟ วิ่งไปได้ไกลเท่าใดต่อหนึ่งชาร์จ ถัดมาน่าจะเป็นเรื่องอัตราเร่ง ความเร็วสูงสุด กล่าวคือเป็นเรื่องเดิมๆที่เราเคยใช้เปรียบเทียบสมัยรถใช้น้ำมันนั่นเอง แต่เปลี่ยนมาเป็นมาตรวัดอีกแบบหนึ่งในโลกรถใช้ไฟฟ้า
ในเรื่องระยะวิ่งต่อหนึ่งชาร์จนั้นพัฒนายืดระยะออกไปมาก รวดเร็วมากจนผู้ออกรถเมื่อ 6 เดือนก่อนอาจรู้สึกเสียดาย คิดในใจว่ารู้งี้กูอั้นไว้หน่อยก็ดี แป๊บเดียวแม่งมีรุ่นใหม่ ถูกกว่า วิ่งได้ไกลกว่า แบตใหญ่กว่าออกมาแล้ว นี่คือเรื่องจริงที่หลายคนรอๆๆ ชะลอการซื้อออกไป เพราะ EV พื้นๆเดี๋ยวนี้วิ่งกันได้ 300-400 กม.(ขึ้นไป)นี่มีหลายรุ่นแล้ว และกำลังจะไต่ขึ้นไปเกิน 500 กม. อีกไม่นานจากนี้
ท่านลองไปดูพวก MERCEDES-BENZ EQC ที่เราเคยนำเสนอไป จะเห็นว่ามันวิ่งได้ไกลกว่า TESLA, JAGUAR i-Pace ที่เคยว่าแน่ๆแล้ว HYUNDAI ไฟฟ้าพวก Ioniq, Kona ก็ไปได้ไกลกว่า NISSAN Leaf, RENAULT Zoe ในรถไฟฟ้าบ้านๆ !!
EV Efficiency
วัดตรงๆเลยว่าเมื่อวิ่งระยะเท่านั้นเท่านี้ “กินไฟ” ไปเท่าไร หน่วยวัดระยะทางมีทั้งไมล์และกิโลเมตร บ้านเราชินกับอย่างไรก็ไม่แปลกอะไร แปลงค่านิดเดียว ยกตัวอย่างในสเปคที่บอกว่ารถคันนี้ใช้พลังไฟ 34 KWh/100 miles หรือหารย่อยลงมาเป็น 340 Wh/mile ก็ย่อมกินไฟน้อยกว่าอีกคันที่กิน 50 KWh/100 miles หรือ 500 Wh/mile ซึ่งเป็นการเอา “ระยะ” มาจับ
ตรงนี้เองที่วงการยังไม่ตกลงกันแน่ชัด เพราะบางทีเราอยากรู้ว่าถ้าเอา “การใช้พลังงาน” หรือพูดง่ายๆการ “กินไฟ” มาจับ เพราะคุ้นเคยกับ “กี่กิโลลิตร” หรือ “กี่กิโลไมล์” มากกว่า ก็มีบางค่ายบางการวัดค่าที่บอกมาเป็น 5 miles/KWh , 9 km/KWh เหมือนกัน แล้วแต่ว่าวงการ ผู้ใช้ในประเทศนั้นคุ้นเคยการวัดแบบใด โดยส่วนตัวแล้วถ้าเป็นบ้านเราน่าจะวัดแบบนี้มากกว่า จากที่ไปเดินดูงานแสดงรถเดี๋ยวนี้ที่ติดสติกเกอร์เรื่องการบริโภคน้ำมันเป็น 100 km วิ่งได้เท่าไร เป็นต้องมาคำนวณกลับเป็นลิตรหนึ่งวิ่งได้เท่าไรทุกครั้งไป ซ้ำเมื่อเราเริ่มคุ้นเคยกับค่า KWh , Wh พอสมควรแล้ว ไปดูสเปครถบางรุ่นที่เมืองนอกยังเสือกวัดเป็น Ah (amp-hour) เสียอีก เช่น BMW i3 ที่บอกมาหน่วยนี้ในบางประเทศ ทำเอางงแดกไปพักหนึ่ง !!
การวัดค่า Miles per kWh ??
การวัดประสิทธิภาพแบบนี้ก็เห็นภาพออกมาดีพอสมควร เพราะเริ่มเริ่มชินกับมันแล้ว เจอค่า 40 KWh/100 miles ก็เห็นภาพ หรือแปลงเป็น 2.5 miles/kWh ได้แบบต้องใช้มือถือช่วยแปลงค่าเล็กน้อย
*** ค่าตรงนี้อาจทำให้สับสนกบาลได้ เพราะเป็นค่าที่ผู้ผลิตเขาทำการวัด แล้วป่าวประกาศมา โดยวัดจากความจุของแบต (Battery capacity) เทียบกับระยะที่วิ่งได้ตามที่เขาทำการวัด (Official range) ซึ่งต่อมาพบว่าค่าที่บอกมานั้นไม่ได้บอกประสิทธิภาพที่แท้จริง เป็น “ค่าประมาณ” เท่านั้น เพราะในการใช้งานจริงเราไม่สามารถนำค่าความจุของแบตที่เขาบอกมาใช้ขับเคลื่อนออกมาทั้งหมด รถหลายรุ่นจะใช้ไฟได้ “ไม่หมดหม้อ” พูดภาษาชาวบ้าน !! เพราะถูกออกแบบมาให้เหลือติดก้นหม้อ เป็น “Buffer” ไว้ส่วนหนึ่ง เพื่อยืดอายุแบตโดยไม่ให้สภาพของแบตไม่ลงไปถึง Deep cycle ทำลายสภาพตัวมัน ยกตัวอย่าง VOLKSWAGEN ID3 บอกความจุแบตมา 62 KWh แต่ได้จำกัดให้ปล่อยออกมา 58 KWh เท่านั้น อีก 4 KWh ตุนไว้ใน Buffer !! ***
ปัจจุบันจึงเริ่มมีการเพิ่มความรัดกุมของการบอกสเปคมากขึ้น เช่นแนะนำให้การวัดแต่ละครั้ง “ควร” ชาร์จแบตจนเต็มแล้ววิ่งไปจนแบตลงไปถึงช่วง Buffer ดังกล่าว แล้วดูว่าวิ่งไปได้ระยะทางเท่าใด ซึ่งผู้ผลิตรถยนต์อาจไม่ปฏิบัติตามนี้ก็ได้ เป็นแค่หนึ่งแนวคิดที่ถูกเสนอขึ้นมาเท่านั้น ปล้อนหละปวดกบาลจิงจิ๊ง !!!