เมื่อเกิดแผ่นดินไหวขึ้น หลายคนอาจนึกถึงความเสียหายต่อบ้านเรือนและอาคารต่าง ๆ แต่รู้หรือไม่ว่า รถยนต์ของเราก็อาจได้รับผลกระทบเช่นกัน เช่น รถถูกซากอาคารถล่มใส่ ถนนทรุดตัว หรือแม้แต่การจอดรถไว้ในพื้นที่เสี่ยงที่ได้รับแรงสั่นสะเทือนจนรถเสียหาย แล้วแบบนี้ ประกันรถยนต์จะคุ้มครองหรือไม่? บทความนี้มีคำตอบ พร้อมแนวทางเตรียมรับมือภัยธรรมชาติอย่างแผ่นดินไหวให้กับรถของคุณ
ประกันรถยนต์คืออะไร และคุ้มครองอะไรบ้าง?
ประกันภัยรถยนต์ในประเทศไทยมีหลากหลายประเภท ตั้งแต่ประกันชั้น 1, ชั้น 2+, ชั้น 3+ และชั้น 3 โดยแต่ละประเภทมีความคุ้มครองที่ต่างกัน เช่น
ประกันชั้น 1: คุ้มครองครบทั้งรถเรา รถคู่กรณี สูญหาย ไฟไหม้ และภัยธรรมชาติบางกรณี
ประกันชั้น 2+ และ 3+: คุ้มครองรถจากอุบัติเหตุและรถคู่กรณี รวมถึงสูญหาย ไฟไหม้ (เฉพาะบางกรณี)
ประกันชั้น 3: คุ้มครองเฉพาะรถคู่กรณีเท่านั้น
แต่เมื่อพูดถึง ภัยธรรมชาติ อย่างเช่นน้ำท่วม พายุ หรือแผ่นดินไหว จะไม่ได้อยู่ในความคุ้มครองของประกันทุกประเภทเสมอไป โดยเฉพาะแผ่นดินไหวซึ่งถือเป็น เหตุสุดวิสัย (Act of God) ที่ต้องตรวจสอบเป็นพิเศษ
แผ่นดินไหว…ประกันรถยนต์คุ้มครองหรือไม่?
คำตอบคือ ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขในกรมธรรม์ของแต่ละบริษัทประกันภัย โดยทั่วไปแล้ว:
ประกันชั้น 1 บางฉบับอาจคุ้มครองความเสียหายจากภัยธรรมชาติ แต่ไม่ใช่ทุกแผนประกันจะรวม “แผ่นดินไหว” ไว้ด้วย
หากแผ่นดินไหวทำให้เกิดผลกระทบ เช่น อาคารถล่มใส่รถ หรือพื้นดินทรุดตัว ทำให้รถพัง ความเสียหายนี้อาจไม่ได้รับการคุ้มครอง หาก ไม่ได้ระบุภัยธรรมชาติในเงื่อนไขประกัน
ผู้เอาประกันสามารถ ซื้อความคุ้มครองเพิ่มเติม ได้ เช่น การเพิ่ม “ภัยธรรมชาติ” เข้าไปในกรมธรรม์ ซึ่งบางบริษัทจะรวม แผ่นดินไหว น้ำท่วม พายุ เข้าไว้ด้วยกัน
ดังนั้น ก่อนทำประกันภัยรถยนต์ ควรอ่านรายละเอียดกรมธรรม์ให้ชัดเจน ว่าครอบคลุมเหตุการณ์แผ่นดินไหวหรือไม่
วิธีตรวจสอบว่าประกันรถของคุณคุ้มครองแผ่นดินไหวหรือไม่
อ่านเอกสารกรมธรรม์ – ดูรายละเอียดส่วนของความคุ้มครอง โดยเฉพาะหมวด “ภัยธรรมชาติ”
สอบถามตัวแทนหรือนายหน้าประกัน – หากไม่แน่ใจ ควรสอบถามโดยตรงว่าแผนนี้ครอบคลุมภัยแผ่นดินไหวหรือไม่
ตรวจสอบเงื่อนไขเพิ่มเติม – บางบริษัทให้เลือกซื้อความคุ้มครองเพิ่มเติมในราคาที่ไม่สูงนัก ซึ่งเป็นทางเลือกที่คุ้มค่า โดยเฉพาะผู้ที่จอดรถในพื้นที่เสี่ยง
ดูตารางความคุ้มครอง – ประกันภัยชั้น 1 ส่วนมากจะมีตารางแสดงรายละเอียดชัดเจนว่าความเสียหายจากภัยธรรมชาติรวมอยู่หรือไม่
ทำไมควรเพิ่มความคุ้มครองภัยธรรมชาติในประกันรถ?
ประเทศไทยแม้จะไม่ได้อยู่ในโซนแผ่นดินไหวรุนแรงแบบญี่ปุ่นหรือชิลี แต่ก็เคยมีเหตุการณ์ แรงสั่นสะเทือนระดับ 5-6 ริกเตอร์ เกิดขึ้นในหลายจังหวัด โดยเฉพาะภาคเหนือ ซึ่งอาจทำให้เกิดความเสียหายต่อรถยนต์ได้ เช่น:
กระจกแตก
ตัวถังบุบจากวัสดุตกใส่
พื้นดินทรุดทำให้รถพลิกคว่ำ
โครงสร้างใต้ท้องรถเสียหาย
การเพิ่มความคุ้มครองภัยธรรมชาติจึงถือเป็นการป้องกันความเสี่ยงในราคาที่ไม่แพง หากเทียบกับค่าใช้จ่ายในการซ่อมรถหลังเหตุการณ์
ประกันแผ่นดินไหวสำหรับรถยนต์ ต้องซื้อเพิ่มหรือไม่?
หลายบริษัทประกันภัยเสนอความคุ้มครองภัยธรรมชาติให้เป็น ส่วนเสริม (Optional Coverage) ที่ต้องชำระเบี้ยเพิ่ม โดยเฉลี่ยอาจอยู่ที่ 200 – 800 บาท/ปี ขึ้นอยู่กับประเภทรถและบริษัทประกัน
หากคุณอาศัยอยู่ในพื้นที่เสี่ยง หรือจอดรถในสถานที่เปิดที่ไม่มีหลังคาคุ้มครอง การซื้อความคุ้มครองเสริมนี้ถือว่า “คุ้มค่า” และเพิ่มความอุ่นใจ
สรุป: ประกันรถยนต์กับแผ่นดินไหว – ควรรู้ไว้ก่อนสาย
ประกันรถยนต์ทั่วไปไม่ได้คุ้มครองแผ่นดินไหวเสมอไป
ควรตรวจสอบกรมธรรม์ให้แน่ชัด หรือเลือกซื้อความคุ้มครองภัยธรรมชาติเพิ่มเติม
ค่าเบี้ยประกันภัยธรรมชาติไม่แพง แต่ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายยามเกิดเหตุได้มาก
หากคุณอยู่ในพื้นที่เสี่ยง ควรพิจารณาเพิ่มความคุ้มครองโดยด่วน