Home บทความแนะนำ คาร์บอนไฟเบอร์ ยังได้ไปต่อ ! หลังยุโรปอนุโลม “เลิกแบน” จากการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์

คาร์บอนไฟเบอร์ ยังได้ไปต่อ ! หลังยุโรปอนุโลม “เลิกแบน” จากการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์

by Admin clubza.tv

คาร์บอนไฟเบอร์ หวิดสิ้นชื่อในวงการอุตาหกรรมยานยนต์ หลังก่อนหน้านี้ สหภาพยุโรปนำโดยรัฐสภายุโรป ลงความเห็นในร่างกฎหมาย End of Life Vehicles (ELV) ว่าด้วยการควบคุมการรื้อถอน และรีไซเคิลรถยนต์อย่างเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยต้องสามารถนำชิ้นส่วนกลับมาใช้ใหม่ได้กว่า 85% ว่า คาร์บอนไฟเบอร์ ถือเป็นวัสดุอันตรายที่ยากต่อการทำลายและมีความเสี่ยงที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบกับสิ่งแวดล้อมในระยะยาว เช่นเดียวกับ ตะกั่ว ปรอท แคดเมียม และเฮกซะวาเล้นท์ ซึ่งถูกจัดให้เป็นวัตถุอันตรายมาก่อนหน้านี้แล้ว โดยร่างดังกล่าว…กำหนดห้ามใช้ คาร์บอนไฟเบอร์ เป็นชิ้นส่วนในการผลิตยานยนต์ตั้งแต่ปี 2029 เป็นต้นไป

อนาคตของรถเหล่านี้จะเป็นอย่างไร…หากคาร์บอนไฟเบอร์ ไม่อนุญาตให้ใช้ในยุโรป ?

ล่าสุด…ตัวแทนรัฐสภาจากยุโรป ออกมาให้ข้อมูลกับทาง Motor 1 Italia ว่า “คาร์บอนไฟเบอร์ จะถูกลบออกจากรายชื่อวัสดุอันตราย และรถยนต์ที่จะจำหน่ายในยุโรป ยังคงสามารถใช้วัสดุ คาร์บอนไฟเบอร์ เป็นส่วนประกอบได้ต่อไป แม้ว่าจะเดิมเคยมีกำหนดห้ามใช้ คาร์บอนไฟเบอร์ เป็นชิ้นส่วนในการผลิตยานยนต์ตั้งแต่ปี 2029″ ซึ่งข้อยกเว้นดังกล่าว เป็นไปในทิศทางเดียวกับที่สหภาพยุโรป ยังคงอนุโลมให้ใช้ ตะกั่ว ปรอท แคดเมียม และเฮกซะวาเล้นท์ ในอุตสาหกรรมยานยนต์ภายใต้การควบคุมอย่างเคร่งครัด โดยอนุญาตให้ใช้กับชิ้นส่วนที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกับของที่ใช้อุปโภค บริโภค เท่านั้น ส่วนสาเหตุที่สหภาพยุโรป มองว่า คาร์บอนไฟเบอร์ เป็นวัสดุอันตรายก็เพราะ ในขั้นตอนการผลิต จะต้องใช้เส้นใยคาร์บอนผสมกับเรชินเพื่อให้ได้เป็นชิ้นงานที่มีความแข็งแรงออกมา ดังนั้นเมื่อนำชิ้นส่วนดังกล่าวมาทำลาย หรือรีไซเคิล อาจทำให้เกิดการฝุ้งกระจายของเศษเส้นใยหรือเรซินปลิวไปในอากาศ ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดการระคายเคืองผิวหนัง รวมถึงระบบทางเดินหายใจอย่างรุนแรง อีกทั้งยังอาจส่งผลต่อการลัดวงจรของระบบไฟฟ้า

จุดเด่นที่สำคัญของ คาร์บอนไฟเบอร์ คือ เรื่องความแข็งแรงและน้ำหนักที่เบา

ที่ผ่านมา คาร์บอนไฟเบอร์ ถือเป็นวัสดุที่มีบทบาทสำคัญและถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลายในวงการอากาศยาน วงการยานยนต์ขั้นสูง รวมถึงอุตสหกรรมอื่นๆ เช่น การใช้เป็นส่วนหนึ่งของใบพัดกังหันลม เนื่องจาก คาร์บอนไฟเบอร์ มีความแข็งแรงมากกว่าเหล็ก แต่มีน้ำหนักเบากว่าอลูมิเนียม อันเป็นหัวใจที่ช่วยลบข้อบกพร่องในแง่ประสิทธิภาพและข้อจำกัดต่างๆ ได้เป็นอย่างดี แม้จะเป็นวัสดุที่มีต้นทุนในการผลิตสูงมากก็ตาม (การผลิตชิ้นส่วนคาร์บอนไฟเบอร์นั้น ต้องใช้พลังงานมากกว่าการหลอม ขึ้นรูปเหล็กถึง 14 เท่า) ซึ่งแน่นอนว่า คาร์บอนไฟเบอร์ มีข้อดี มากกว่าข้อเสีย โดยในวงการอุตสาหกรรมยานยนต์ ณ ปัจจุบัน มีการนำชิ้นส่วน คาร์บอนไฟเบอร์ มาเป็นส่วนประกอบในการผลิตราว 20% เมื่อเทียบกับการนำวัสดุชนิดนี้มาใช้ในอุตสาหกรรมทั่วโลก และหากเทียบจากการรายงานของ Nikkei Asia แล้ว มีแนวโน้มการนำ คาร์บอนไฟเบอร์ มาใช้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากผู้ผลิตต้องการที่จะลดน้ำหนักตัวรถให้ได้มากที่สุด โดยเฉพาะกับวงการรถยนต์พลังงานไฟฟ้าสมรรถนะสูง เพื่อให้สามารถลดน้ำหนักได้ตามที่ตั้งเป้าไว้

คาร์บอนไฟเบอร์ ถูกนำมามีส่วนร่วมกับทุกๆ ชิ้นส่วนยานยนต์ ไม่เว้นแม้แต่…ล้อ

นอกจากนี้ คาร์บอนไฟเบอร์ ยังถือเป็นหนึ่งในวัสดุที่มีมูลค่าและการเติบโตในวงการอุตสาหกรรมที่สูงมาก โดยหากเทียบจากงานวิจัยจะพบว่า ในปี 2024 ที่ผ่านมา คาร์บอนไฟเบอร์ มีมูลค่าในวงการอุตสาหกรรมสูงถึง 5.48 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และมีแนวโน้มในการเติบโตเฉลี่ยปีละ 11% ซึ่งนั่นอาจทำให้มูลค่าตลาดของ คาร์บอนไฟเบอร์ เพิ่มขึ้นไปถึง 17.08 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2035 โดย ณ ปัจจุบัน บริษัทจากญี่ปุ่น นำโดย Toray Industries, Teijin และ Mitsubishi Chemical ถือเป็น 3 ยักษ์ใหญ่ที่ครองส่วนแบ่งทางการตลาดถึง 54% ในวงการคาร์บอนไฟเบอร์ ซึ่งที่น่าสนใจกว่านั้นคือ ยอดขายครึ่งหนึ่งของบริษัทเหล่านี้ เป็นยอดขายที่ทำได้ในยุโรป ซึ่งครอบคลุมทั้งวงการการบิน, การผลิตพลังงานจากลม และธุรกิจยานยนต์ ซึ่งหากมีการแบน คาร์บอนไฟเบอร์ ในยุโรปจริง บริษัทเหล่านี้จะได้รับผลกระทบเป็นอย่างมาก

McLaren MP4/1 ตัวแข่งรุ่นแรกที่สร้างจากคาร์บอนไฟเบอร์ในปี 1981

Jaguar XJR-15 รถโปรดักชั่นรุ่นแรก ที่ใช้ตัวถังแบบคาร์บอนโมโนค็อก

คงเป็นเรื่องที่จินตนาการได้ยากว่า หากมีการแบน คาร์บอนไฟเบอร์ ในยุโรปจริงๆ บริษัทผู้ผลิตซูเปอร์คาร์ ไฮเปอร์คาร์ ชั้นนำจากฝั่งยุโรป เช่น McLaren, Lamborghini, Pagani, Ferrari และ Koenigsegg เกือบจะทั้งหมด ใช้โครงสร้างแบบคาร์บอนโมโนค็อกเป็นพื้นฐาน จะมีทิศทางต่อไปในอนาคต แม้ว่าจะมีเวลาให้คิดจนถึงปี 2029 แต่แน่นอนว่า…เพียง 4 ปี ถือเป็นเวลาอันน้อยนิด เมื่อเทียบกับการพัฒนารถยนต์ 1 คัน โดยเฉพาะกับวงการรถสมรรถนะสูงที่ทุกองประกอบ ล้วนต้องพิถีพิถันในการออกแบบ


ข่าวแนะนำ

เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้ เพื่อสร้างประสบการณ์นำเสนอคอนเทนต์ที่ดีให้กับท่าน รวมถึงเพื่อจัดการข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์ที่ดีบนบริการของเว็บไซต์เรา หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไปโดยไม่มีการปรับตั้งค่าใดๆ นั่นเป็นการแสดงว่าท่านอนุญาตยินยอมที่จะรับคุกกี้บนเว็บไซต์และนโยบายสิทธิส่วนบุคคลของเรา ยอมรับ เรียนรู้เพิ่มเติม