หากจะเทียบไปแล้ว BMW M4 CSL ที่เปิดตัวมาในโอกาสเฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปี ของ BMW M เปรียบเสมือนตัวแรงที่เข้าถึงผู้ขับขี่มากที่สุดเท่าที่แผนก M เคยทำมา ตัวแรงโฉมล่าสุดที่เปิดตัวไปแบบสดๆ ร้อนๆ อย่าง BMW M3 CS คงจะเป็นอีกหนึ่งแนวทาง ที่เน้นความใส่ใจสำหรับผู้โดยสาร (ที่ต้องการความเร้าใจ) ในลำดับต้นๆ เช่นกัน คู่นี้เป็นเสมือนแฝดต่างฝาที่มากระตุ้นอารมณ์ความอยากสัมผัสจิตวิญญาณของความเป็น M Car ได้อย่างแท้จริง
BMW M3 CS ยกเครื่องเคียงของความเร้า มาใส่รถที่ใช้งานได้หลากหลายมากขึ้น
ความต่างในความเป็น CS และ CSL หากเทียบง่ายๆ คือ
ตัวอักษร L ที่ย่อมาจาก Light หรือน้ำหนักที่เบาลง (จากเทคนิคการรีดน้ำหนักชั้นเกจิ) แต่ถึงแม้ว่า BMW M3 CS จะไม่ใช่รถสมรรถสูงที่มาในบอดี้แบบ Lightweight ชิ้นส่วนต่างๆ ที่ถูกนำมาใช้ ยังคงเป็นแบบเดียวกับรุ่นพี่อย่าง BMW M4 CSL ซึ่งรวมไปถึงขุมพลัง ที่เป็นต้นกำเนิดของแรงม้าในระดับ 550 ตัว ช่วยยกระดับอัตราเร่งจาก 0-96 กม./ชม. ได้ราว 0.4 วินาที เมื่อเทียบกับ BMW M4 CSL (ซึ่งเป็นตัวเลขที่เหลือเชื่อมาก !) อีกทั้งยังมีระดับราคาที่ต่ำกว่าถึง $21,200 หรือราวๆ 7 แสนบาท โดยราคาของ BMW M3 CS ในสหรัฐฯ อยู่ที่ $118,700 หรือประมาณ 3.89 ล้านบาท
ด้วยพื้นฐานที่พัฒนามาจากตัวถังเวอร์ชั่นซีดานของ BMW M3 (แทนที่จะเป็น M4) นอกจากจะส่งให้ BMW M3 CS เป็นรถที่สะดวกในการขึ้น-ลงแล้ว สิ่งหนึ่งที่หายไปในแพคเกจลดน้ำหนักของรถในตระกูล CSL ก็คือ เบาะหลังที่หายไปด้วยความต้องการในการลดน้ำหนัก แต่สำหรับ BMW M3 CS ยังคงไว้ซึ่งความยืดหยุ่นในการใช้งานด้วยเบาะนั่งด้านหลังที่ยังคงอยู่ครบ สามารถโดยสารได้ตั้งแต่ 4 หรือ 5 คน (ในช่วงเวลาสั้นๆ) ได้แบบสบายๆ โดยเบาะด้านหลังจะไม่ได้เป็นแบบแยก 1+1 เหมือนรุ่นพี่อย่าง BMW M5 CS นอกจากนี้ ความแตกต่างระหว่าง BMW M3 CS และ BMW M4 CSL ก็คือ แผงหน้าปัด ซึ่ง M4 CSL ยังคงใช้หน้าปัดแบบแยก 2 จอ สไตล์ดั้งเดิมของ BMW แต่สำหรับ BMW M3 CS จะเปลี่ยนมาใช้หน้าจอในรูปแบบ Curve Display ที่เริ่มใช้มาตั้งแต่ช่วงกลางปีก่อน (แบบเดียวกับ BMW M3 Touring) ซึ่งช่วยยกระดับภาพลักษณ์ของ BMW M3 CS ให้ดูทันสมัยมากยิ่งขึ้น
BMW M3 CS
BMW M4 CSL
สิ่งที่เหมือนกันสำหรับ BMW M3 CS และ BMW M4 CSL คือ
ทั้งคู่จะได้เบาะ M Carbonfiber ที่เป็นแบบ Bucket Seat ในคู่หน้า หุ้มด้วยหนัง Merino พร้อมเดินด้านสีแดง Mugello โดยบริเวณโลโก้ CS จะมาในรูปแบบเรืองแสง พวงมาลัยในทรง 3 ก้าน ถูกห่อหุ้มด้วยหนังอัลคันทารา พร้อมประดับด้วยคาร์บอนไฟเบอร์ เช่นเดียวกับชุดแป้น Paddle Shift ส่วนเข็มขัดนิรภัยมาในสีดำ คาดแถบ M Tri Color ในลุคที่สาวก Bimmer คุ้นเคย
ความดุดันคงเดิม เพิ่มเติมคือ ประโยชน์ใช้สอย สำหรับพ่อบ้านสายซิ่ง
BMW M4 CSL ใช้ระบบขับเคลื่อนด้วย 2 ล้อหลัง ด้วยความที่ทางค่ายเน้นการต่อยอดส่ความเป็นตัวแข่ง GT3 แต่สำหรับ BMW M3 CS จะใช้ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ M xDrive จับคู่ชุดเฟืองท้าย Active M เพื่อให้ผู้ขับขี่สามารถสัมผัสถึงความเร้าใจได้อย่างเต็มอารมณ์ ด้วยการเลือกได้ว่าจะให้ตัวรถขับเคลื่อนด้วยล้อทั้งสี่ หรือจะจำกัดการส่งกำลังการขับเคลื่อนไปแค่ที่ล้อคู่หลัง ด้านขุมพลังแน่นอนว่าเป็นเครื่องยนต์ 6 สูบ แถวเรียง พิกัด 3.0 ลิตร ทวินเทอร์โบ ซึ่งโดยปกติแล้ว BMW M3 รวมถึง M4 Competition จะให้กำลังอยู่ที่ 510 แรงม้า แต่สำหรับ BMW M3 CS ระดับของพละกำลังจะถูกอัพไปอยู่ที่ 550 แรงม้า ที่ 6,250 รอบ/นาที พร้อมกับแรงบิดในระดับ 650 นิวตัน-เมตร (เท่ากันรุ่น Competition)
เรื่องน้ำหนัก ที่เราได้เกริ่นไปในช่วงแรก ม้าแต่ละตัวของ BMW M3 CS อาจต้องรับภาระหนักมากกว่าม้าใน M4 CSL เล็กน้อย เนื่องจากต้องแบกน้ำหนักมากกว่า แต่สิ่งที่ทั้ง 2 รุ่น แสดงถึงความตั้งใจในการ “ไล่เบา” คือ การใช้ฝากระโปรง, เบาะนั่ง, หลังคา, ดิฟฟิวเซอร์ รวมถึงชิ้นส่วนต่างๆ เช่น ช่องลมที่ทำจากคาร์บอนไฟเบอร์ รวมถึงชุดท่อไอเสียไทเทเนียมที่ลดน้ำหนักลงได้อีก 3.6 กก. โดยสิ่งที่ BMW M4 CSL ทำได้เหนือกว่า คือ การใช้ฝากระโปรงท้ายคาร์บอนไฟเบอร์ (รวมแล้วช่วยลดน้ำหนักลงได้อีก 109 กก. ส่งผลให้น้ำหนักตัวรถโดยรวมอยู่ที่ 1,651 กก.) ส่วน BMW M3 CS มีน้ำหนักอยู่ที่ 1,776 กก. (ชิ้นส่วนในภาพรวม ลดน้ำหนักลงไปได้ 34 กก. และต้องแบกน้ำหนักของชุดขับเคลื่อนที่มากขึ้น)
ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ M xDrive ที่กลายมาเป็นเวอร์ชั่น “ขับหลัง” ได้เพียงปลายนิ้วสัมผัส
หลายคนอาจคิดว่าเป็นเรื่องแย่ที่ BMW M3 CS มีน้ำหนักมากกว่าถึง 125 กก. แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นเสมอไป เพราะด้วยระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ ทำให้รถรุ่นนี้ ทำอัตราเร่งจาก 0-96 กม./ชม. ได้เหนือกว่า BMW M4 CSL โดย BMW M3 CS ตอกตัวเลขเอาไว้ที่ 3.2 วินาที (ส่วน M4 CSL ทำได้ที่ 3.6 วินาที) ซึ่งเร็วกว่า BMW M3 Competition xDrive อยู่ 0.2 วินาที แต่หากเทียบกับด้วยเรื่องความเร็วสูงสุด (ซึ่งจำเป็นในสนาม แท้ไม่มีผลสำหรับการวิ่งบนนถนน) BMW M4 CSL ยังกุมความได้เปรียบอยู่เล็กๆ ด้วยโหลดในการขับเคลื่อนของระบบ RWD ที่ต่ำกว่า ทำให้ตัวรถทำความเร็วสูงสุดได้ที่ 307 กม./ชม. (BMW M3 CS ทำได้ที่ 303 กม./ชม. เมื่อถูกปลดล็อคจาก M Driver’s Package ซึ่งเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน) อีกทั้งรถในสไตล์ Coupe ที่มีน้ำหนักเบากว่า ย่อมที่จะให้ความคล่องตัวในสนามแข่งได้มากกว่า แต่ด้วยการอัพเกรดแชสซีส์ของ M Division เชื่อว่าทั้งคู่จะให้สมรรถนะในภาพรวมที่ไม่ได้ต่างกันมากนัก
ด้วยระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ ช่วยยกระดับอัตราเร่งให้เร็วกว่า M4 CSL ถึง 0.4 วินาที
ด้วยการอัพเกรดโครงสร้างพื้นฐานจาก M Division ส่งให้ BMW M3 CS เป็นรถที่เปี่มด้วยสมรรถนะ โดยเฉพาะในสนามแข่ง ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มชุดค้ำโช้กอลูมิเนียม ที่ช่วยลดการบิดตัวของตัวถัง เสริมเหล็กกันโคลงที่ช่วยเติมประสิทธิภาพขณะเข้าโค้งด้วยความเร็วสูง ทำงานร่วมกับชุดโช้กอัพที่สามารถปรับค่าความหนืดได้อย่างเหมาะสมในแต่ละสภาพการขับขี่ ล้อที่ใช้มาในแบบ Forged ขนาด 19 นิ้ว ยาง สำหรับคู่หน้า และ 20 นิ้ว สำหรับคู่หลัง (เลือกได้ระหว่างสีทอง หรือสีดำ) จับคู่กับยาง Michelin Pilot Sport Cup 2 ขนาด 275/35 ZR19 และ 285/30 ZR20 ตามลำดับ แบบเดียวกับที่ใช้ใน BMW M4 CSL อีกทั้งหากต้องการเพิ่มประสิทธิภาพในการลดความเร็ว สามารถเลือกออพชั่นเบรกเซรามิคเพิ่มเติมได้เช่นกัน
BMW M3 CS มาพร้อมสีพิเศษ BMW Individual ให้เลือก โดยมาในสี Frozen Solid White ซึ่งเป็นสีที่มีให้เลือกเฉพาะในรุ่นนี้เท่านั้น (นอกนั้น คือ สีเขียวที่ใช้โปรโมท, สีดำ Black Sapphire และสีเทา Brooklyn Grey Metallic) ให้ความรู้สึกโดดเด่นมากเมื่อจับคู่กับชุดกระจังหน้าที่ตัดขอบด้วยสีแดง ตัดกับไฟ Daylight สีเหลือง อันเป็นลูกเล่นที่ยืมมาจาก BMW M4 CSL (ให้ความรู้สึกในอารมณ์ตัวอข่ง GT3) รวมถึงคิ้วฝากระโปรงหน้าและทริมการตกแต่งในส่วนอื่นๆ ที่ทำจากคาร์บอนไฟเบอร์ แยกความแตกต่างระหว่าง BMW M3 CS และ M3 Competition ได้อย่างชัดเจนมากขึ้น โดย ณ เวลานี้ยังไม่มีการแจ่งจำนวนการผลิตของ BMW M3 CS ออกมาอย่างเป็นทางการ แต่คาดว่ารถล็อตแรก จะเริ่มขึ้นโชว์รูมในช่วงเดือนมีนาคมนี้
