BMW ประเทศไทย จัดงาน BMW M Drive Festival โดยเชิญสื่อมวลชน รวมถึงลูกค้าร่วมสัมผัสรถในตระกูลแรง ณ สนามพีระ อินเตอร์เนชันแนล เซอร์กิต แบบเต็มอิ่ม เน้นการสร้างอารมณ์ร่วม พร้อมถ่ายทอดสมรรถนะในระดับสูงให้ผู้ที่สนใจได้รับรู้ โดยในงานดังกล่าว ค่าย BMW จัดรถในรูปแบบ M Car มาให้ได้ทดลองหลากหลายรุ่น ไม่ว่าจะเป็น BMW M2 Competition, M3 Touring Competition, M3 CS รวมถึงรถในกลุ่ม M Performance ทั้ง BMW M340i และ i5 M อีกด้วย
ในงาน BMW M Drive Festival
กลุ่มสื่อมวลชนจะได้ทดลองขับ (หรือหากเรียกตามศัพท์ของสายโหด คือ ขยี้) รถในตระกูล M Car ทั้ง 3 รุ่น ประกอบไปด้วย BMW M2 Competition, M3 Touring Competition และ M3 CS ซึ่งแน่นอนว่า แต่ละรุ่น…แม้ว่าจะถูกพัฒนาโดยแผนก BMW M GmbH เช่นเดียวกัน ใช้เครื่องยนต์บล็อคเดียวกัน (ในทั้ง 3 รุ่น ที่ได้ทดลองขับ) แต่กลับถูกเซ็ตให้มีคาแร็กเตอร์ที่แตกต่างกันออกไป เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มลูกค้า Bimmer สาย Performance ได้อย่างหลากหลาย และแน่นอนว่า เมื่อ #ทีมขับซ่า มีโอกาสได้มาขยี้ M Car แบบเต็มๆ ในสนามเช่นนี้ จะไม่ให้นำความรู้สึกมาถ่ายทอดให้ผู้ที่สนใจได้รู้ ความคลั่งไคล้ที่ได้สัมผัส มันก็ดูจะจุกอยู่ในใจแค่คนเดียว เอาเป็นว่า…จากวันที่ทดลองขับ ผ่านมาแล้ว 2-3 วัน ตัวผู้ขับขี่ยังรู้สึก “ขัดยอก” กับอาการเกร็งที่ต้นคอ หลังจากที่ได้สัมผัส M Car ทั้ง 3 รุ่นไปแบบเต็มอิ่มอยู่เลยทีเดียวเชียว
แม้ว่า M Car ทั้ง 3 รุ่น ที่ #ทีมขับซ่า มีโอกาสได้ลองหวดในสนามพีระฯ ทาง BMW M GmbH จะเซ็ตออกมาให้มีคาแร็กเตอร์ที่แตกต่างกัน แต่สิ่งหนึ่งที่คงอยู่ คงหนีไม่พ้นเรื่องของความสนุก และสัมผัสที่ดุดันในการขับขี่ ด้วยการใช้เครื่องยนต์ที่มีพละกำลังสูง จับคู่กับตัวรถที่เลือกใช้วัสดุที่มีน้ำหนักเบาทั้งในส่วนของตัวถัง รวมถึงชิ้นส่วนภายในห้องโดยสาร พร้อมจับคู่กับระบบส่งกำลังสมรรถนะสูง ทั้งในรูปแบบ 8 สปีด M Steptronic และเกียร์ธรรมดา 6 สปีด ที่มีให้เป็นทางเลือก ทั้งหมดทั้งมวลส่งให้ตัวรถ M Car มีอัตราส่วนพละกำลังต่อน้ำหนักที่อยู่ในระดับสูง
BMW M2 Competition
M Car รุ่นแรกที่ #ทีมขับซ่า ได้ลองหวดในงาน BMW M Drive Festival แน่นอนว่าเป็น BMW M2 Competition แม้ว่านี้จะไม่ใช่ครั้งแรกกับน้องเล็กตระกูล M แต่เจ้าสปอร์ตขุมพลัง 460 แรงม้า (อัตราส่วนน้ำหนักต่อแรงม้า อยู่ที่ 5.1 kg/kw) คันนี้ ก็ทำให้ตัวผู้ขับขี่ได้ตื่นเต้นทุกครั้ง เพียงแต่ครั้งนี้…อารมณ์มันจะต่างไปกับครั้งแรกที่ได้ลองขับในสนามช้างฯ สักหน่อย ก็เท่านั้นเอง โดยความแตกต่างที่รู้สึกได้ จากการขับขี่ในทั้ง 2 สนามแข่ง ที่มีสเกลต่างกันก็คือ ตอนที่ขับสนามช้างฯ นั้น BMW M2 Competition ให้ความรู้สึกเป็นรถที่เน้นความเป็น Entertainer เน้นขับสนุก ควบคุมง่าย มากกว่ารถที่ Racer ที่เน้นพละกำลังและความดุดันเป็นสำคัญ โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับรุ่นพี่อย่าง BMW M4 Competition ที่มีความดุดันมากกว่าอย่างรู้สึกได้ไม่ยาก แต่พอมาขับในสนามพีระฯ ที่มีขนาดเล็กและมีช่วงโค้งให้ได้เล่นมากกว่า ผู้ขับขี่กลับได้รู้สึกถึงพลังที่แท้จริงของ BMW M2 Competition ที่ให้ความสนุกและตอบสนองได้อย่างดุดันเกินกว่าที่คิด แม้ว่าจะยังเปิดระบบ DSC ไว้ (เพื่อป้องกันความผิดพลาด) แต่ตัวรถก็ยังออกอาการ Oversteer เบาๆ (ยามที่เดินคันเร่งแรงๆ) ในแบบฉบับรถขับเคลื่อนล้อหลัง ให้ผู้ขับขี่ได้ตื่นเต้นอย่างต่อเนื่องตลอดช่วงของการทดสอบ
BMW M3 Touring Competition
เรียกได้ว่าเป็นรถที่ถูกกว่าวขานที่สุดในงานเลยก็ว่า ได้ สำหรับพ่อบ้านสายซิ่งอย่าง BMW M3 Touring Competition ที่งานนี้ BMW M GmbH ทำถึง จับรถใช้งานที่โหวงเฮ้งเน้นใช้งานในรูปแบบครอบครัว ให้กลายมาเป็นรถสมรรถสูงอย่างเต็มระบบ โดยจุดเด่นของ BMW M3 Touring Competition คงหนีไม่พ้น การผสานการขับขี่แบบไดนามิคส์ ที่เน้นความดุดัน คล่องตัว ให้เข้ากับประสิทธิภาพในการใช้งาน (ในชีวิตประจำวัน…หากต้องการ) ได้อย่างลงตัว โดยในเรื่องของพละกำลัง หากดูจากตัวเลขแรงม้าในระดับ 510 ตัวแล้ว คงไม่มีใครกว้าที่จะปฏิเสธถึงความร้อนแรง งานยากเลยตกมาอยู่ที่การจะเซ็ตช่วงล่างอย่างไร เพื่อให้พอเหมาะกับการใช้งานได้หลากหลายรูปทั้งบนถนน รวมถึงในแทร็กแข่งขัน ซึ่งจากการที่ได้มาทดลองขับในครั้งนี้ สื่อผู้ร่วมทดสอบ (เกือบจะ) ทุกคนต่างก็กล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า…นี่คือ รถที่พวกเขาชอบที่สุด เป็นรถซิ่งฟีลลิ่งกลางๆ ช่วงล่างหนึบ อาการออกน้อย ให้ความมั่นคงสูง ใช้งานได้หลากหลาย และขับในสนามได้อย่างได้อย่างมั่นใจ จนเราอาจจะลืมไปเลยว่า กำลังขับรถที่มาในรูปทรงแวกอน ที่ว่ากันตามตรงแล้ว เรื่องบาลานซ์ รวมถึงฟีลลิ่งการขับขี่ในสนาม แน่นอนว่ายังเป็นรองรถในรูปแบบซีดาน หรือคูเป้อยู่ไม่น้อย แต่สำหรับคนที่ชอบความ “สุด” สำหรับการขับขี่ในสนามแข่ง…อาจต้องไปหยุดที่คันที่เรากำลังจะพูดถึงต่อไปนี้ !
BMW M3 CS
หากเทียบความสุดในตระกูล M Car ยุคปัจจุบัน คงต้องยกให้ BMW M4 CSL ร่างจำแลงของตัวแข่ง GT3 ที่ยังคงสามารถใช้งานได้ในชีวิตประจำวัน แต่หากสำหรับคนที่ต้องการความสะดวกสบาย รวมถึงประสิทธิภาพการขับขี่ที่หลากหลายกว่านั้น ทางเลือกอย่าง BMW M3 CS ที่มาพร้อมขุมพลังในรูปแบบเดียวกัน อาจเป็นคำตอบที่ตรงใจมากกว่า ซึ่งทั้ง 2 รุ่นนี้ ถือว่ามีพื้นฐานที่ใกล้เคียงกันมาก คือ เซ็ตมาเพื่อให้ใกล้เคียงความเป็นรถที่ใช้ต่อยอดเพื่อการแข่งขันในระดับสูงเหมือนๆ กัน ด้วยการลดน้ำหนักในจุดต่างๆ เช่น ฝากระโปรงหน้า, หลังคา และชิ้นส่วนตกแต่งทั้งภายนอก และภายในห้องโดยสารที่เลือกใช้วัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ รวมถึงการใช้เซ็ตท่อไอเสียที่ทำจากไทเทเนียมอีกด้วย จุดแตกต่างคงเป็นเพียงบอดี้สไตล์แบบคูเป้ vs. ซีดาน กับระบบขับเคลื่อน ที่ BMW M3 CS มาในรูปแบบ xDrive และปลดเป็นขับเคลื่อน 2 ล้อหลัง ได้ (ส่วน CSL เป็นขับเคลื่อน 2 ล้อหลัง เท่านั้น ส่งผลให้อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ของ BMW M3 CS ทำได้เร็วกว่าราว 0.4 วินาที)
ยอมรับตามตรงเลยว่า…นี่เป็นอีกครั้งของการขับรถในสนามแข่งที่ทำให้หัวใจของผู้ขับขี่นั้นเต้นรัวๆ เพียงแค่ได้สัมผัสเรือนร่างอันดุดันจากการเลือกใช้วัสดุ Racing Grade ก็ช่วยดึงอารมณ์ในการขับขี่ขึ้นมาได้อีกหลายระดับ ยิ่งเมื่อเข้าไปนั่งภายในห้องโดยสารแล้ว ความรู้สึกที่โอบกระชับจากเบาะ Bucket Seat M Carbon Fiber รวมถึงพวงมาลัยที่ห่อหุ้มด้วยหนังอัลคันทารา ยิ่งช่วยปลุกไฟให้ลุกโชน สิ่งหนึ่งที่น่าสนใจในความเป็นรถในตระกูล M Car ก็คือ การสามารถเซ็ตค่าการขับขี่ต่างๆ ได้ตามต้องการ ไม่ว่าจะเป็น การตอบสนองของเครื่องยนต์ ระดับความนุ่มนวลของช่วงล่าง การตอบสนองของพวงมาลัยและระบบเบรก รูปแบบการขับเคลื่อน รวมถึงระดับการทำงานของระบบ Traction Control ซึ่งในครั้งนี้ ทางผู้จัดเลือกปรับ Preset M2 ให้ผู้ขับขี่ได้เข้าถึงอารมณ์ความเป็น M Car มากที่สุดในระดับ Sport Plus (หรือหากใครชอบแบบซอฟท์ๆ สามารถเลือกที่ Preset M1 ได้เช่นกัน) ด้วยความบั้านไกล เวลาน้อย ผู้ขับจาก #ทีมขับซ่า เลือกจัดเต็มใน BMW M3 CS อย่างไม่รีรอ หลังจากที่วอร์มร่างกายมาจากรุ่นอื่นๆ แล้วหลายต่อหลายรอบ
ด้วยเซ็ตติ้งในแบบฉบับของรถที่ใช้ในการแข่งขัน ส่งให้ BMW M3 CS มีคาแร็กเตอร์ที่แตกต่างจาก 2 รุ่นแรก (รวมถึง BMW M4 Competition) ที่ผู้ขับขี่เคยได้ลองขับอย่างชัดเจน เริ่มตั้งแต่สุ้มเสียที่มีความดุดันแม้ในยามที่จอดติดเครื่องยนต์ในรอบเดินเบา เสียงที่คำรามออามาจากชุดปลายท่อไทเทเนียม ฟังแล้วน่าเกรงขามยิ่งนัก ยิ่งหากใช้สอบเครื่องสูงขึ้นสักหน่อย หรืออมคันเร่งในขณะที่ไหลเข้าโค้ง 100R คือ บอกเลยว่า…สุดสะพรึง ! นอกจากการตอบสนองสุดเร้าใจของขุมพลัง S58 ที่ถูกรีดขีดจำกัดกว่า 550 แรงม้า กับแรงบิดสูงสุด 650 นิวตัน-เมตร แล้ว BMW M3 CS ยังมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวด้วยการตอบสนองของช่วงล่างที่เฉียบคมในสไตล์ตัวแข่ง ซึ่งเป็นการตอบสนองในการเลี้ยวที่เฉียบคมกว่า M Car รุ่นอื่นๆ อย่างชัดเจน ลองจินตนาการภาพตาม สำหรับผู้อ่านที่เคยขับรถที่ติดตั้งโรลเคจ ที่ให้การตอบสนองที่มีความกระชับกว่ารถเปล่าๆ ในบอดี้เดียวกัน BMW M3 CS ให้ความรู้สึกไม่แตกต่างจากนั้น ความแข็งแรงของโคงสร้างตัวรถและช่วงล่าง ถ่ายทอดมาสู่ตัวผู้ขับขี่ได้อย่างชัดเจนมากๆ แต่หากไม่ได้แข็งกร้าวจนเกินไปจนรู้สึกกระด้าง ซึ่งแน่นอนว่า…นี่คือ ความรู้สึกแบบ Racer ที่นักซิ่งต่างโหยหา หากไม่ติดในเรื่องบอดี้สไตล์ที่เป็นนซีดาน กับค่าตัวในระดับแตะ 15 ล้านบาท BMW M3 CS ถือเป็นหนึ่งในตัวจบที่น่าสนใจของ Bimmer ตัวจริงได้อย่างไม่ขัดเขินเลยทีเดียว